โฮลิสต้า (ประเทศไทย) | HOLISTA

โพรไบโอติกกับการรักษาโรคลำไส้แปรปรวน

โรคลำไส้แปรปรวนคืออะไร ?

เคยได้ยินไหมว่าโพรไบโอติก (Probiotics) นั้นสามารถช่วยลดอาการความรุนแรงของโรคลำไส้แปรปรวนและรักษาอาการลำไส้แปรปรวนให้ดีขึ้นได้ ซึ่งก็ยังมีหลายคนที่มีอาการของโรคนี้อยู่แต่ไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องเสีย ท้องผูก จนถึงขั้นรุนแรงที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในบทความนี้เราจึงอยากมาอธิบายถึงโรคลำไส้แปรปรวน สาเหตุและอาการของโรค รวมถึงสรรพคุณของไพรโบโอติกว่าช่วยรักษาอาการลำไส้แปรปรวนได้อย่างไร ถ้าพร้อมแล้ว…ไปอ่านกันเลย!

โรคลำไส้แปรปรวนคืออะไร ?

โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome, IBS) เป็นอีกหนึ่งภาวะที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งจริง ๆ แล้วโรคนี้น่าจะเกิดขึ้นกับคนไทยมานานมากแล้ว เพียงแต่ในสมัยก่อนยังไม่มีการวินิจฉัยที่แน่นอน ผู้ที่มีอาการลำไส้แปรปรวนจะมีอาการปวดท้อง ท้องผูก ท้องอืด มีแก๊สในช่องท้อง ทำให้ต้องผายลมบ่อย หรือมีการขับถ่ายที่มีความถี่มากขึ้นคล้ายกับอาการท้องเสีย รวมไปถึงลักษณะของอุจจาระที่เปลี่ยนแปลงไป

 

แต่ถ้าหากมีอาการของโรคที่รุนแรงขึ้น เช่น ถ่ายมีมูกเลือดปน หรือมีเมือก น้ำหนักลดลง ตัวซีด อาเจียน และปวดท้องต่อเนื่อง จะต้องปรึกษาแพทย์โดยเร่งด่วน เพราะอาจมีอาการที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรงของโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งลำไส้ โดยแพทย์จะต้องทำการวินิจฉัยแยกโรคอื่น ๆ ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจผลแลปต่าง ๆ เช่น ผลเลือด ผลอุจจาระ รวมถึงทำการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่อย่างละเอียด

 

ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่ก็เป็นโรคที่ส่งผลต่อคุณภาพของชีวิตอย่างมาก จากการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการลำไส้แปรปรวนมีโอกาสที่จะขาดงานถึง 3 เท่าเมื่อมีอาการ อีกทั้งหากอาการเรื้อรังที่ยาวนาน อาจทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนตามมาด้วย เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น

สาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวน

สาเหตุของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน แบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่

1. ปัจจัยสภาพแวดล้อม อาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกาย เช่น กลูเตน (Gluten) ถั่ว น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ หรืออาหารที่มีไขมันสูง รวมไปถึงการติดเชื้อในทางเดินอาหารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และกล้ามเนื้อหดตัวในลำไส้

 

2 ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น พันธุกรรม สภาพจิตใจและความเครียด ภูมิต้านทานไปทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง  รวมไปถึงการเสียสมดุลระหว่างจุลินทรีย์ที่ดีและจุลินทรีย์ก่อโรคภายในร่างกาย

โพรไบโอติก (Probiotics) ช่วยรักษาโรคลำไส้แปรปรวนได้อย่างไร ?

holista probiotic

อย่างที่เราทราบกันดีว่า โดยปกติร่างกายมนุษย์จะมีการรักษาสมดุลระหว่างจุลินทรีย์ที่ดีและจุลินทรีย์ก่อโรค (Pathogenic bacteria) ถ้าหากร่างกายมีจุลินทรีย์ที่ดีในปริมาณที่มากกว่า ร่างกายก็จะแข็งแรงดีเป็นปกติ แต่ในทางตรงกันข้าม หากร่างกายมีจุลินทรีย์ดีน้อยกว่าจุลินทรีย์ก่อโรค ก็จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมาได้

ซึ่งความไม่สมดุลของจุลินทรีย์นี้จะส่งผลต่อโรคลำไส้แปรปรวน ทำให้ลำไส้เกิดการอักเสบมากขึ้น มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นทั้งหลายในลำไส้ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและการเคลื่อนไหวของลำไส้ผิดปกติ โดยจากการวิจัยพบว่า ผู้มีภาวะลำไส้แปรปรวนมากกว่า 84% พบจุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้มากเกินไป 

โดยกลไกที่โพรไบโอติกใช้ในการช่วยควบคุมการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ มีดังนี้
 
  • เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค
  • ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวเป็นปกติ
  • ช่วยทำให้ผนังของลำไส้แข็งแรงขึ้น
  • กระตุ้นการทำงานของเซลล์ในลำไส้ให้สร้างเยื่อเมือก เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผิวของลำไส้
  • ลดความไวของลำไส้ต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ โดยผ่านทางสารเคมีที่เชื่อมการทำงานระหว่างลำไส้และสมอง (Gut-Brain pathway)

 

จากการวิจัยพบว่า เมื่อผู้ที่มีภาวะลำไส้แปรปรวนได้รับโพรไบโอติกอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีอาการปวดท้องน้อยลง และขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติมากขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากการทานโพรไบโอติกแล้ว การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว การออกกำลังกายเป็นประจำ การลดความเครียด และการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ก็มีความสำคัญและช่วยป้องกันการเกิดภาวะลำไส้แปรปรวนได้เช่นกันค่ะ หากคุณกำลังมีปัญหาเหมือนกับในบทความนี้ ไม่ต้องกังวลไปค่ะเพราะ Holista ไฟเบอร์ดีท็อกลำไส้สูตรลิขสิทธิ์เฉพาะที่มีงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนผสมของทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติก ผสานนวัตกรรม Synbiotic Fiber Detox พร้อมสารสกัดเกรดพรีเมี่ยมมากถึง 22 ชนิด มั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์จริง ช่วยปรับสมดุลลำไส้และฟื้นฟูระบบการย่อยอาหารแบบครบวงจร ดูแลครบ จบในซองเดียว ! คลิกด้านล่างได้เลยค่ะ

ปวดท้องถ่ายไม่ออก ต้องทำอย่างไร?

ปวดท้อง ถ่ายไม่ออก

หลายคนน่าจะเคยประสบปัญหาปวดท้องแต่ถ่ายไม่ออก หรือนั่งเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงก็ยังอึไม่ออก อึไม่สุด อึแข็ง รู้สึกปวดเกร็งหน้าท้อง แน่นท้องกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “อาการท้องผูก” ที่จะเกิดขึ้นต่อเมื่ออาหารถูกย่อยแล้ว แต่ยังยังคงมีอาหารค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป พอลำไส้ดูดซึมน้ำจากอาหารไปมาก ๆ ก็จะส่งผลให้อุจจาระแข็งและแห้ง ทำให้อุจจาระออกมาได้ยากนั่นเอง

ซึ่งถ้าหากเราปล่อยให้ร่างกายท้องผูกติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเรื้อรัง ก็อาจส่งผลให้เกิดผลเสียหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดริดสีดวง การเป็นแผล หรือมีอาการเจ็บปวดอวัยวะขณะขับถ่าย รวมถึงยังส่งผลกระทบอีกหลาย ๆ ด้าน วันนี้เราจึงได้รวบรวม 3 สาเหตุของอาการท้องผูกและวิธีรักษาอาการท้องผูกมาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย!

3 สาเหตุของอาการท้องผูก

1. การเคลื่อนไหวร่างกายน้อยเกินไป

การเคลื่อนไหวร่างกายน้อยเกินไป หรือการนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยขยับร่างกาย ก็จะทำให้ลำไส้ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวไปด้วย ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารไม่ดี ระบบเผาผลาญทำงานได้น้อย เกิดอาการท้องผูก ดังนั้นเราควรหาเวลาออกกำลังกายสัก 10-15 นาที เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว ลำไส้ได้ขยับตาม เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ระบบขับถ่ายและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

2. กลั้นอุจจาระบ่อย

เมื่อคุณเร่งรีบออกจากบ้านจนไม่ได้ขับถ่ายในตอนเช้าเหมือนปกติทั่วไป ก็อาจส่งผลให้ระบบการขับถ่ายทำงานรวน กลายเป็นอาการท้องผูก ปวดท้องแต่ถ่ายไม่ออก รวมถึงยังมีพฤติกรรมของความเครียดที่เราควรระวัง เพราะอาการเครียดจะทำให้ระบบภายในร่างกายรวนเช่นเดียวกัน ดังนั้นคุณต้องขับถ่ายให้ตรงเวลา และพยายามปรับอารมณ์ให้ไม่เครียดจนเกินไป ก็จะช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นได้นั่นเองค่ะ

3. ทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย

แน่นอนว่าเรื่องอาหารการกินก็สำคัญสำหรับระบบขับถ่าย โดยเราต้องเลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง เพราะกากใยจะทำหน้าที่เพิ่มปริมาณของเสียและช่วยอุ้มน้ำได้ดี สามารถช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ทำงานได้คล่อง รวมถึงการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย ก็จะช่วยป้องกันการดูดกลับน้ำจากอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายได้คล่องตัวมากขึ้น แก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี

อย่างที่กล่าวไปว่าอาการท้องผูก ปวดท้องถ่ายไม่ออก เป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมาก แทบจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งวิธีแก้ปัญหาอาการท้องผูกก็ทำเองได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง และดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย ก็จะสามารถช่วยปรับระบบการขับถ่ายให้ดีขึ้นได้แล้ว 

 

แต่ถ้าใครคิดว่าตัวเองยังทานอาหารที่มีกากใยไม่มีเพียงพอ ไม่สามารถควบคุมอารมรณ์ความเครียดของตัวเองได้ การทานอาหารเสริมไฟเบอร์ที่มีทั้งโพรไบโอติกและพรีไบโอติกก็ตอบโจทย์ เพราะทั้งสองอย่างนี้จะช่วยปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ และเกิดความสมดุลในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงยังช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทอย่างเซโรโทนิน ที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเบิกบาน อีกทั้งช่วยลดการอักเสบในร่างกายที่ทำให้ระดับของ Lipopolysaccharide (LPS) ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาร LPS นี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคซึมเศร้า สมองเสื่อม และอัลไซเมอร์

สำหรับใครที่กำลังมองหาโพรไบโอติกที่อุดมไปด้วยสารสกัดคุณภาพสูง เรามีพร้อมให้คุณทาน Holista สินค้านำเข้าจาก USA !

Holista จะช่วยปรับสมดุลลำไส้ ฟื้นฟูลำไส้ ดูดซับสิ่งสกปรกและสารพิษในลำไส้ ล้างของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ได้อย่างหมดจด ลดอาการท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย และกรดไหลย้อน ทำให้ขับถ่ายได้อย่างเป็นระบบ 

มั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์จริง ช่วยปรับสมดุลลำไส้และฟื้นฟูระบบการย่อยอาหารแบบครบวงจร ดูแลครบ จบในซองเดียว ! คลิกเลยโปร 1 แถม 1

ประโยชน์ของโพรไบโอติก (Probiotics) เคล็ดลับเสริมสุขภาพที่ไม่ควรพลาด

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

เมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพของลำไส้ แน่นอนว่า โพรไบโอติก (Probiotics) มักถูกขนานนามว่าเป็นอาหารเสริมอันดับต้น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับลำไส้ โดยอาหารที่พบโพรไบโอติกได้มากที่สุดก็คืออาหารหมักดองต่าง ๆ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอาหารหมักดอง การมองหาทางเลือกอย่าง “อาหารเสริมโพรไบโอติก” ก็ถือว่าตอบโจทย์เช่นกัน เพราะอาหารเสริมโพรไบโอติกก็ได้รวบรวมจุลินทรีย์เอาไว้มากมายหลายสายพันธุ์ ไม่แพ้อาหารหมักดองเลยค่ะ

แต่นอกจากโพรไบโอติกจะมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับลำไส้แล้ว โพรไบโอติกยังมีคุณประโยชน์ต่าง ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าทานเพียง 1 อย่าง ได้ประโยชน์อีกหลายข้อ ถ้าใครอยากรู้ว่าไพรโบโอติกมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้ Holista ก็ได้รวบรวม 5 ประโยชน์ของโพรไบโอติกมาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย!

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) มีความสำคัญอย่างไร ?

ภายในลำไส้ของเรานั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่จะคอยสร้างระบบนิเวศอย่าง ไมโครไบโอม (Microbiome) ที่เป็นส่วนช่วยทำให้เกิดความสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ไมโครไบโอมแข็งแรงได้ก็คือ การทานอาหารที่จะช่วยปรับความสมดุลระหว่างแบคทีเรียทั้งดีและไม่ดีเกือบ 1,000 สายพันธุ์ในลำไส้ โดยต้องเป็นอาหารที่จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหลายชื่นชอบมันด้วย

พรไบโอติก ก็จัดว่าเป็นอาหารที่จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหลายต่างชื่นชอบ ไพรโบโอติกมีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก สามารถทนต่อกรดและด่างได้ รวมถึงต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ไม่ดีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด โดยเมื่อรับประทานโพรไบโอติกเข้าไปแล้วก็จะช่วยให้เกิดความสมดุลทั้งระบบของร่างกาย

ซึ่งอาหารที่พบโพรไบโอติกได้มากที่สุดก็คือ “โยเกิร์ต” จากนั้นก็ตามด้วยอาหารหมักดองต่าง ๆ เช่น นมเปรี้ยว กะหล่ำปลีดอง คอมบูชา ผักดอง และกิมจิ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอาหารหมักดอง อาหารเสริมโพรไบโอติกที่รวมจุลินทรีย์มากมายหลายสายพันธุ์ก็ถือว่าตอบโจทย์ เพราะสามารถช่วยปรับสมดุลในระบบขับถ่ายและระบบทางเดินอาหารได้ดีเช่นเดียวกันค่ะ

5 ประโยชน์ของโพรไบโอติก (Probiotics)

  1. ช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียที่ดีในระบบย่อยอาหาร
    ในกรณีที่มีแบคทีเรียที่ไม่ดีมากจนเกินไปหรือมีแบคทีเรียที่ดีไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะหรือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โพรไบโอติกก็จะเข้าไปช่วยฟื้นฟูความสมดุลตามธรรมชาติของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นโพรไบโอติกยังช่วยป้องกัน ลดความเสี่ยง และลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอาการท้องร่วง ท้องเสียได้เป็นอย่างดี

  2. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย
    รู้หรือไม่ว่าระบบภูมิคุ้มกันมากกว่า 70% นั้นอยู่ในลำไส้ของมนุษย์! ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ที่รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโพรไบโอติกจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากกว่าผู้ที่รับประทานอาหาร Junk food หรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพราะโพรไบโอติกจะช่วยส่งเสริมการผลิตแอนติบอดี้ตามธรรมชาติในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสความรุนแรงในการติดเชื้อในทางเดินหายใจและทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย

  3. ช่วยควบคุมอารมณ์
    สมองและระบบทางเดินอาหารมีส่วนเชื่อมโยงกัน ทำให้ส่งผลต่อการควบคุมการทำงานของร่างกาย อารมณ์ และความรู้สึก เช่น ความวิตกกังวล ความกลัว และภาวะซึมเศร้า ดังนั้นโพรไบโอติกจะช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทอย่างเซโรโทนิน ที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเบิกบาน อีกทั้งช่วยลดการอักเสบในร่างกายที่ทำให้ระดับของ Lipopolysaccharide (LPS) ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาร LPS นี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคซึมเศร้า สมองเสื่อม และอัลไซเมอร์

  4. ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและอ่อนนุ่ม
    เมื่อร่างกายมีสุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ก็จะส่งผลทำให้ผิวพรรณของคุณดีขึ้นด้วย เพราะโพรไบโอติกมีส่วนช่วยในการลดอาการภูมิแพ้ อาการระคายเคืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผื่น สิว ผด และกลากเกลื้อน ซึ่งในปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายแบรนด์ที่เริ่มผสมโพรไบโอติกลงไป เพื่อช่วยลดรอยแดงและการอักเสบบนผิว

  5. ช่วยลดไขมันสะสมในหน้าท้อง
    โพรไบโอติกบางประเภทสามารถช่วยป้องกันการดูดซึมไขมันอาหารในลำไส้ได้ ทำให้ไขมันนั้นถูกขับออกมาทางอุจจาระแทนที่จะเก็บไว้ในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักและไขมันสะสมในหน้าท้อง อีกทั้งโพรไบโอติกยังสามารถเพิ่มฮอร์โมนอย่าง GLP-1 ที่ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า โพรไบโอติกมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งในแต่ละสายพันธุ์ก็มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป บางสายพันธุ์ก็ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร ในขณะที่อีกสายพันธุ์ก็จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ภายในร่างกาย เรียกได้ว่าโพรไบโอติกสามารถช่วยควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้อย่างครอบคลุม และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สำหรับใครที่กำลังมองหาโพรไบโอติกที่อุดมไปด้วยสารสกัดคุณภาพสูง เรามีพร้อมให้คุณทาน Holista สินค้านำเข้าจาก USA !

โพรไบโอติก Holista

Holista ไฟเบอร์ดีท็อกลำไส้สูตรลิขสิทธิ์เฉพาะที่มีงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนผสมของทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติก ผสานนวัตกรรม Synbiotic Fiber Detox พร้อมสารสกัดเกรดพรีเมี่ยมมากถึง 22 ชนิด พร้อมเข้าไปฟื้นฟูระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมีงานวิจัยรับรองมากถึง 24 ฉบับ

Holista จะช่วยปรับสมดุลลำไส้ ฟื้นฟูลำไส้ ดูดซับสิ่งสกปรกและสารพิษในลำไส้ ล้างของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ได้อย่างหมดจด ลดอาการท้องอืด กรดไหลย้อน ทำให้ขับถ่ายได้อย่างเป็นระบบ

มั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์จริง ช่วยปรับสมดุลลำไส้และฟื้นฟูระบบการย่อยอาหารแบบครบวงจร ดูแลครบ จบในซองเดียว ! คลิกเลยโปร 1 แถม 1

โพรไบโอติก (Probiotics) และ พรีไบโอติก (Prebiotics) แตกต่างกันอย่างไร?

พรีไบโอติก (Probiotics) และ พรีไบโอติก (Prebiotics) แตกต่างกันอย่างไร?

รู้หรือไม่ว่าภายในลำไส้ของเรานั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่จะคอยสร้างระบบนิเวศอย่าง ไมโครไบโอม (Microbiome) ที่เป็นส่วนช่วยทำให้เกิดความสมดุลของระบบทางเดินอาหาร จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าหากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสุขภาพดีขึ้นเท่าไร ร่างกายคุณก็จะยิ่งมีสุขภาพดีขึ้นเท่านั้น

หลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “You are what you eat” หรือ รับประทานอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่แค่ประโยคคลาสสิคที่มักใช้เตือนใจทุกคนให้สนใจดูแลสุขภาพ แต่ทุกคนต้องจำเตือนใจไว้ให้ดี เพราะอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปนั้นจะกลายเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหลายในร่างกายของคุณด้วย!

จะเห็นได้ว่ากุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ไมโครไบโอมแข็งแรงได้ก็คือ การทานอาหารที่จะช่วยปรับความสมดุลระหว่างแบคทีเรียทั้งดีและไม่ดีเกือบ 1,000 สายพันธุ์ในลำไส้ของคุณ ที่สำคัญจะต้องเป็นอาหารที่จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหลายชื่นชอบมันอีกด้วย แต่จะมีอาหารประเภทไหนที่คอยเป็นตัวช่วยได้บ้างล่ะ ?

แน่นอนว่า โพรไบโอติก (Probiotics) และพรีไบโอติก (Prebiotics) เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากในเรื่องของสุขภาพลำไส้ เพราะสามารถเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิตเข้าไปในลำไส้ของคุณ และช่วยให้จุลินทรีย์ที่มีอยู่นั้นเติบโตอย่างดีด้วยการให้อาหารที่พวกเขาชอบ ซึ่งอาหารทั้งสองตัวนี้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและเกิดสมดุลในระบบทางเดินอาหารในระยาวช

แต่ ๆ มีใครสงสัยไหมว่าโพรไบโอติกและพรีไบโอติกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วต้องรับประทานแบบไหนจะมีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายได้มากที่สุด วันนี้เรามีคำตอบ!

โพรไบโอติก (Probiotics) คืออะไร ?

โพรไบโอติก เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่จัดว่าเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถทนต่อกรดและด่าง รวมถึงต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ไม่ดีอื่น ๆ ได้ดี โดยเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้เกิดความสมดุลทั้งระบบของร่างกาย ซึ่งอาหารที่พบโพรไบโอติกได้มากที่สุดคือ “โยเกิร์ต” เพราะเป็นการหมักนมที่มีแบคทีเรียต่าง ๆ

โพรไบโอติก นมเปรี้ยว

ยกตัวอย่างอาหารหมักดองที่มีโพรไบโอติก เช่น นมเปรี้ยว กะหล่ำปลีดอง คอมบูชา ผักดอง และกิมจิ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอาหารหมักดอง อาหารเสริมโพรไบโอติกที่รวมจุลินทรีย์มากมายหลายสายพันธุ์ก็ถือว่าตอบโจทย์ เพราะสามารถช่วยปรับสมดุลในระบบขับถ่ายและระบบทางเดินอาหารได้ดีเช่นเดียวกัน

พรีไบโอติก (Prebiotics) คืออะไร ?

พรีไบโอติก เป็นสิ่งไม่มีชีวิต หรือเป็นเส้นใยพืชชนิดพิเศษ ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก แต่สามารถย่อยเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ได้ในรูปแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียโพรไบโอติกได้โดยตรง พรีไบโอติกจึงเปรียบเสมือนเป็นปุ๋ยที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้

ถ้าให้กล่าวง่าย ๆ คือ พรีไบโอติกเป็นอาหารของโพรไบโอติก หากรับประทานอาหารจำพวกพรีไบโอติกอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยส่งเสริมฤทธิ์โพรไบโอติกส์ได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง ส่วนมากมักจะพบในหัวหอม กระเทียม ถั่วเหลือง ถั่วแดง ไฟเบอร์ในผักและผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น

พรีไบโอติก ธรรมชาติ

ยกตัวอย่างอาหารที่มีเส้นใยพรีไบโอติกส์สูง ได้แก่ พืชตระกูลถั่ว, ข้าวโอ๊ต, กล้วย, เบอร์รี่, หน่อไม้ฝรั่ง, กระเทียม, หัวหอม, มันเทศ และอาหารเสริมพรีไบโอติกส์ต่าง ๆ ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป

โพรไบโอติก แตกต่างจากพรีไบโอติกอย่างไร ?

โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีชิวิต สามารถพบได้ในอาหารหรืออาหารเสริมบางชนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ในขณะที่พรีไบโอติกเป็นเส้นใยพืชชนิดพิเศษหรือเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยเองได้ แต่จุลินทรีย์ในลำไส้สามารถย่อยได้ ทำให้เป็นอาหารชั้นดีที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้

ดังนั้นสรุปได้ว่าทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันเพียงชนิดและลักษณะ หรือเปรียบง่าย ๆ คือ โพรไบโอติกจะช่วยเพิ่มทหารให้กับกองทัพในร่างกายคุณ ส่วนพรีไบโอติกส์จะให้การสนับสนุนอาหารที่ทหารเหล่านี้ต้องการ แต่โดยรวมแล้วสามารถสร้างความแข็งแกร่งของลำไส้ได้เหมือนกัน!

หากเรารับประทานอาหารทั้งสองชนิดนี้ร่วมกันจะยิ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและเกิดสมดุลในระบบทางเดินอาหาร ขับถ่ายง่าย บรรเทาอาการท้องผูกและท้องเสีย ช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีอย่างยืนยาว

สำหรับใครที่กำลังมองหาทั้งโพรไบโอติกและพรีไบโอติก เรามีพร้อมให้คุณทาน Holista สินค้านำเข้าจาก USA !

Holista ไฟเบอร์ดีท็อกลำไส้สูตรลิขสิทธิ์เฉพาะที่มีงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนผสมของทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติก ผสานนวัตกรรม Synbiotic Fiber Detox พร้อมสารสกัดเกรดพรีเมี่ยมมากถึง 22 ชนิด พร้อมเข้าไปฟื้นฟูระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งมีงานวิจัยรับรองมากถึง 24 ฉบับ

Holista จะช่วยปรับสมดุลลำไส้ ฟื้นฟูลำไส้ ดูดซับสิ่งสกปรกและสารพิษในลำไส้ ล้างของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ได้อย่างหมดจด ลดอาการท้องอืด กรดไหลย้อน ทำให้ขับถ่ายได้อย่างเป็นระบบ 

มั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์จริง ช่วยปรับสมดุลลำไส้และฟื้นฟูระบบการย่อยอาหารแบบครบวงจร ดูแลครบ จบในซองเดียว ! คลิกเลยโปร 1 แถม 1

การดีท็อกซ์ ช่วยอะไรบ้าง มีปัญหาขับถ่ายต้องอ่านบทความนี้

ดีท็อกซ์ ช่วยอะไร

ปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย อึดอัดท้อง แน่นท้อง มีพุง มักเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนต้องเผชิญ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากพฤติกรรมการขับถ่ายที่ผิดปกติ การอั้นอุจจาระ และอื่น ๆ โดยวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยวิธีการดีท็อกซ์แบบธรรมชาติที่ปลอดภัยค่ะ

ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ ท้องผูก ของเสียสะสม เกิดจากอะไร?

ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ แน่นท้อง อึดอัดท้อง ท้องผูก หรืออาการปวดท้อง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารผักผลไม้ที่มีกากใยน้อย การดื่มน้ำน้อย การไม่ออกกำลังกาย ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย หรือการกลั้นอุจจาระ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการริดสีดวง รวมถึงมะเร็งลำไส้ได้ในอนาคต

 

  • การทำงานของลำไส้ที่ผิดปกติ เป็นอาการที่ลำไส้ใหญ่จะเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้อุจจาระเคลื่อนที่ช้ากว่าปกติ

 

  • การใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อระบบขับถ่าย เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคพาร์กินสัน ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ ยาลดความดันโลหิต ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน หรือยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียมและอะลูมิเนียม

ดีท็อกซ์คืออะไร?

Detoxification หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า Detox (ดีท็อกซ์) เป็นกระบวนการล้างสารพิษและสิ่งสกปรก จากอาหารหรือสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่สะสมตกค้างออกจากร่างกายของเรา เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ด้วยวิธีการที่ร่างกายไม่สามารถทำได้เองทั้งหมด

โดยปกติร่างกายจะสามารถกำจัดของเสียและสารพิษออกด้วยการขับของเสียผ่านทางปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อ อยู่แล้ว แต่การดีท็อกซ์จะช่วยทำให้ขับของเสีย สิ่งตกค้างได้ดียิ่งขึ้น โดยการดีท็อกซ์สามารถทำได้ด้วยกันหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารให้เหมาะสม การดื่มน้ำมะนาวร้อนในตอนเช้า การสวนล้างลำไว้ด้วยอุปกรณ์และน้ำเกลือ หรือการรับประทานอาหารเสริม เป็นต้น ซึ่งทุกวิธีล้วนมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยทั้งสิ้น แต่สำหรับการสวนล้างลำไส้นั้น คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการทำค่ะ

การดีท็อกซ์นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากทำให้รู้สึกสบายตัว ไม่อึดอัดท้อง ไม่แน่นท้อง ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเสียได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในผู้ที่มาอาการท้องผูกเป็นประจำ และมีปัญหาระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ นอกจากนี้การดีท็อกซ์ยังส่งผลดีต่อสุขภาพใจ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ลดความเครียด และปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุลอีกด้วย

ดีท็อกซ์ช่วยในเรื่องอะไร?

  • ช่วยแก้ไขปัญหาระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ ปัญหาท้องผูก หรืออุจจาระไม่ออก

 

  • ช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน

 

  • ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดริดสีดวง และมะเร็งลำไส้ในอนาคต

 

  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

 

  • ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ลดความเครียด

 

  • ช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล
    อาจมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้

ดีท็อกซ์ลำไส้ ควรทำบ่อยแค่ไหน?

เนื่องจากร่างกายของคนเรามีระบบกำจัดของเสียและสารพิษอยู่แล้ว การทำดีท็อกซ์ด้วยวิธีธรรมชาติง่าย ๆ อย่าง การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย หลีกเลี่ยงอาหารย่อยยาก จึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นประจำต่อเนื่องค่ะ

แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผักผลไม้ อาหารที่มีกากใย และไม่อยากทำการสวนลำไส้ สามารถพิจารณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดีท็อกซ์ลำไส้ที่มีอยู่ในท้องตลาดได้

โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะประกอบไปด้วยพรีไบโอติกและโพรไบโอติกซึ่งเป็นตัวช่วยในการดีท็อกซ์ร่างกาย ปรับสมดุลให้กับระบบขับถ่าย ช่วยให้ขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น และไม่มีของเสียและสารพิษตกค้างภายในลำไส้

โดยคุณสามารถทำเองที่บ้านได้ง่าย ๆ ภายใต้การแนะนำการใช้งานของผลิตภัณฑ์ค่ะ

ดีท็อกซ์ตัวไหนดี?

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับการดีท็อกซ์ลำไส้นั้นมีให้เลือกหลากหลาในท้องตลาด แตกต่างกันที่ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการกำจัดของเสียและสารพิษในร่างกายได้ โดยคุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์หลักของคุณ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองจากอย. ผ่านมาตรฐานระดับสากล เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพค่ะ

ดีท็อกซ์ ช่วยอะไร

Holista ไฟเบอร์ดีท็อกลำไส้สูตรลิขสิทธิ์เฉพาะที่มีงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนผสมของทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติก ผสานนวัตกรรม Synbiotic Fiber Detox พร้อมสารสกัดเกรดพรีเมี่ยมมากถึง 22 ชนิด ส่งตรงเข้าฟื้นฟูระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มาพร้อมกับงานวิจัยรับรองมากถึง 24 ฉบับ ได้รับการรับรองจาก อย. และผ่านมาตรฐาน GMP และ HACCP ระดับสากล จึงมั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์จริง ช่วยปรับสมดุลลำไส้และฟื้นฟูระบบการย่อยอาหารแบบครบวงจร ดูแลครบ จบในซองเดียว !

เจาะลึก พรีไบโอติก อาหารสําหรับจุลินทรีย์ในลําไส้

พรีไบโอติก

ในปัจจุบัน หลาย ๆ คนเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและระบบทางเดินอาหาร ที่ส่งผลทำให้ร่างกายแข็งแรง และหนึ่งในอาหารที่เป็นที่นิยมและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหารของเราคือ อาหารที่ประกอบไปด้วย พรีไบโอติก (Prebiotic) และ โพรไบโอติก (Probiotic) ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกเรื่อง พรีไบโอติก กันค่ะ !

พรีไบโอติก คืออะไร?

พรีไบโอติก (Prebiotic) เป็นเส้นใยอาหารชนิดพิเศษ เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยเองได้ แต่จุลินทรีย์ในลำไส้อย่าง โพรไบโอติก (Probiotic) สามารถย่อยได้ โดยพรีไบโอติกนั้นถือว่าเป็นอาหารชั้นดีที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ช่วยทำให้ลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ

 

หน้าที่ของพรีไบโอติกนั้นจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ลดการอักเสบ ช่วยต้านโรคภัยต่าง ๆ รวมถึงช่วยระบบเผาผลาญของร่างกายอีกด้วย โดยเราสามารถพบพรีไบโอติกในอาหารประเภทผัก ผลไม้ หรือธัญพืชบางชนิด

 

พรีไบโอติกกับโพรไบโอติกแตกต่างกันอย่างไร?

โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ที่สามารถพบได้ในร่างกาย เป็นตัวช่วยที่ทำให้เกิดความสมดุลของระบบร่างกาย ช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยดูดซึมอาหาร และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย


ในขณะที่พรีไบโอติกส์เป็นเส้นใยพืชชนิดพิเศษ ซึ่งทำหน้าที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์โพรไบโอติก เปรียบคล้ายกับปุ๋ยที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้


โดยการรับประทานทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติกจะช่วยทำให้เกิดสมดุลในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงช่วยระบบขับถ่ายของคุณให้เป็นปกติ


พรีไบโอติกช่วงเรื่องอะไรบ้าง?

  • พรีไบโอติกมีส่วนช่วยในการเพิ่มการดูดซึมแรธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสของลำไส้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมความหนาแน่นของกระดูก

 

  • พรีไบโอติกมีส่วนช่วยในการเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
    พรีไบโอติกมีส่วนช่วยในการกระตุ้นระบบขับถ่าย ดูดซับสารพิษในทางเดินอาหาร ป้องกันอาการท้องเสีย ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

 

  • พรีไบโอติกมีส่วนช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ช่วยควบคุมการผลิตฮอร์โมนความหิว เพราะมีการผลิตสารสื่อประสาทสำหรับเชื่อมต่อลำไส้กับสมองซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ การรับรู้ความรู้สึกอิ่มและสบายท้อง

 

  • พรีไบโอติกมีส่วนช่วยเสริมสร้างการต้านการอักเสบของร่างกาย ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดี ช่วยลดการเกิดโรค ลดความเสี่ยง

พรีไบโอติกธรรมชาติมีอะไรบ้าง? อาหารพรีไบโอติก มีอะไรบ้าง?

อาหารพรีไบโอติกจากธรรมชาติจะเป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยใยอาหารที่ถูกหมักและละลายน้ำได้สูง โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น

  • น้ำตาลและออลิโกแซ็กคาไรด์ (Sugar and Oligosaccharides) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง และเป็นกลุ่มพรีไบโอติกที่ใหญ่ที่สุด สามารถพบได้ในผักและผลไม้ เช่น กระเทียม บรอกโคลี นอกจากนี้ยังพบได้ในน้ำนมแม่อีกด้วย
 
  • น้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohol) หรือที่รู้จักในชื่อ โพลิออลส์ (Polyols) มักจะถูกใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในอาหารหลายชนิด
    แป้งทนย่อย (Resistant Starch) เป็นแป้งที่ไม่ถูกย่อยและไม่ดูดซึมในลำไส้เล็ก แต่จะเข้าไปกระตุ้นการหมักจนได้ผลผลิตซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย
 
  • อินนูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมาะกับการเป็นพรีไบโอติก มักพบในบริเวณหัวและรากของพืช เช่น กระเทียม ต้นหอม หอมใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเหลือง ช่วยให้ร่างกายอิ่มนานขึ้น ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
 
  • เพกติน (Pectin) เป็นแป้งที่มีลักษณะคล้ายเจล พบได้ในผักและผลไม้ เช่น แครอท ถั่วเขียว แอปเปิ้ล ลูกพีช มะเขือเทศ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านมะเร็ง และเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้
    โปรตีนและเพปไทด์ (Proteins and Peptides) เป็นกลุ่มพรีไบโอติกที่ได้จากอาหารประเภทโปรตีน สามารถพบได้จากการหลั่งของตับอ่อน หรือสร้างโดยแบคทีเรีย

พรีไบโอติกควรรับประทานตอนไหน?

พรีไบโอติกสามารถพบได้ในอาหารทั่วไปที่เรารับประทานกันในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเราจึงสามารถรับประทานพรีไบโอติกธรรมชาติเหล่านี้ได้ตามมื้ออาหารในแต่ละวัน แต่หากเป็นอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติก ควรรับประทานตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์ หรือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญค่ะ

พรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดีที่สุด?

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพรีไบโอติกนั้นมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์พรีไบโอติกอย่างเดียว หรือผลิตภัณฑ์พรีไบโอติกที่มีส่วนผสมของโพรไบโอติกด้วย ซึ่งในแต่ละแบบนั้นจะเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์หลักของคุณ เพื่อผลลัพธ์ที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ

พรีไบโอติก ยี่ห้อไหนดี

Holista ไฟเบอร์ดีท็อกลำไส้สูตรลิขสิทธิ์เฉพาะที่มีงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีส่วนผสมของทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติก ผสานนวัตกรรม Synbiotic Fiber Detox พร้อมสารสกัดเกรดพรีเมี่ยมมากถึง 22 ชนิด ส่งตรงเข้าฟื้นฟูระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มาพร้อมกับงานวิจัยรับรองมากถึง 24 ฉบับ จึงมั่นใจได้ว่า ปลอดภัย เห็นผลลัพธ์จริง ช่วยปรับสมดุลลำไส้และฟื้นฟูระบบการย่อยอาหารแบบครบวงจร ดูแลครบ จบในซองเดียว !