เทรนด์บอกลาท้องผูก 2019 รู้ไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้!
‘ท้องผูก’ ถือเป็นปัญหาที่เหมือนจะเล็ก แต่ยิ่งใหญ่ ! เพราะใครที่ท้องผูกเป็นประจำจะทราบถึงความอึดอัด และความทุกข์ที่ยากจะบรรยายสำหรับบางรายที่ท้องผูกหนักๆ! และสำหรับผู้อ่านที่ยังท้องผูกอ่อนๆ อยากให้อ่านบทความนี้ก่อนที่จะปล่อยให้อาการท้องผูกลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพบานปลายค่ะ
สาเหตุควรรู้ ทำไมถึงท้องผูก?
ท้องผูก เกิดจากอะไร ?
คำตอบก็คือ ท้องผูก เกิดจากความผิดปกติจากการทำงานของลำไส้และการขับถ่ายนั่นเองค่ะ
ขยายความเพิ่มเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน คือ เกิดจากการที่ลำไส้เคลื่อนตัวช้า หรือมีอาการบีบตัวในระหว่างที่กำลังย่อยอาหารอยู่ เป็นผลให้ขับอุจจาระออกไปไม่ได้เหมือนปกติ พอขับออกมาไม่ได้
ทีนี้เกิดอะไรขึ้นคะ ?
ก็เกิดอาการอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไปส่งผลให้มีการดูดน้ำจากอุจจาระกลับ
แล้วจากนั้นจะเป็นอย่างไร ?
ผลที่ตามมาก็คือ อุจจาระจะแข็งแห้ง มีขนาดใหญ่
ถ่ายออกกันลำบากจนหน้าซีดหน้าเหลืองเลยล่ะค่ะ
ถ้าถามว่าแล้วทำไมจึงมีอาการเช่นนี้ ชนวนเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง จริงๆ แล้วมีหลายปัจจัยค่ะ เป็นได้ทั้งผลข้างเคียงจากโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารหรือฮอร์โมนก็มีส่วน เพราะฮอร์โมนเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยให้ของเหลวและการทำงานภายในร่างกายเกิดความสมดุลขึ้นได้ และแน่นอนว่าหากคุณเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หรือว่ามีสภาวะบางอย่างที่ทำให้ฮอร์โมนเกิดความผิดปกติ เช่นโรคเบาหวาน ไทรอยด์ทำงานต่ำ ลำไส้แปรปรวน หรือคุณกำลังตั้งครรภ์ ผลที่ตามมาก็คือ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุลในการทำงาน และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะนำไปสู่อาการท้องผูกได้ในที่สุดค่ะ
หรืออีกสาเหตุของอาการท้องผูกก็เนื่องมาจากการใช้ยาบางประเภท
เช่น ยารักษาทางด้านจิตเวช ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ ยาแก้ปวดกลุ่มมอร์ฟีน ยาขับปัสสาวะ ยารักษาอาการชัก เป็นต้น
อาการแบบไหนที่ใช่ ‘ท้องผูก’ ?
สังเกตง่าย ๆ เลยนะคะ อาการท้องผูกจะมีอาการอุจจาระแข็ง แล้วเวลาขับถ่าย คุณจะต้องออกแรงเบ่ง แน่นอนว่าการต้องเบ่ง ไม่ใช่สภาวะปกติแน่นอน หลายรายมีเลือดออกมากับอุจจาระ และเมื่อคุณขับถ่ายเสร็จแล้ว คุณจะเหมือนขับถ่ายไม่สุดอยู่ตลอดเวลาค่ะ
แก้อาการท้องผูกอย่างไรให้หายสนิท ?
ในเบื้องต้น คุณควรปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก่อน ไม่ว่าจะเป็นการกิน ควรเลือกกินผัก ผลไม้ที่มีกากใยในอาหารแต่ละมื้อด้วย และต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำ (น้ำเปล่านะคะ ไม่ใช่น้ำหวานตลอดวัน) ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญเมื่อรู้สึกว่า ปวดท้อง ต้องการขับถ่ายให้จัดการทันที อย่าอั้น อย่ารอค่ะ
และอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่สุด
เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถช่วยเรื่องท้องผูกได้โดยตรง และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อย่างเช่น Holista บอกเลยว่า สามารถแก้ปัญหาท้องผูกแบบลงลึกถึงต้นตอของปัญหาได้ชะงัดนัก เพราะมี Probiotic จุลินทรีย์นำเข้าจาก USA ช่วยฟื้นฟูระบบขับถ่ายได้อย่างดีเลิศ อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลลำไส้อย่างเป็นธรรมชาติ มีสารสกัดสำคัญ 9 ชนิด คือ ทับทิม เมลอน อโซโรล่า เชอร์รี่ แครนเบอร์รี่ เมล็ดองุ่น ชาเขียว Co Q10, L-Glutathione และ Pine Bark
เรียกว่าเป็นคู่หูกู้ระบบย่อยที่ต้องจัดหามาติดบ้านด่วนๆ เลยค่ะ
แค่ดื่ม ‘โฮลิสต้า’ ก่อนนอน
คืนละ 1 แก้ว
Holista rebalance
สิ่งที่คุณจะได้จากการดื่ม โฮลิสต้า รีบาลานซ์ (Holista rebalance) Detox Fiber ดีท็อกซ์ลำไส้ ภายใน 4 สัปดาห์
สัปดาห์ที่ 1
ดีท็อกซ์ลำไส้ ขับถ่ายสบายแบบเป็นธรรมชาติ
สัปดาห์ที่ 2
รู้สึกตัวเบาขึ้น ท้องโล่ง แก๊สในกระเพราะอาหารลดลง
สัปดาห์ที่ 3
ตื่นเช้ามาร่างกายสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ผ่อนคลายและอารมณ์ดี
สัปดาห์ที่ 4
ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสจนมีคนทัก และรู้สึกชีวิตมีความสุขมากยิ่งขึ้น
- ปรับสมดุลให้ระบบลำไส้
- ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ตัวเบาขึ้น รู้สึกได้ว่าท้องโล่งขึ้น
- อาการท้องอืดและกรดไหลย้อนดีขึ้น
- ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงขึ้น
- ผิวพรรณดูสุขภาพดีขึ้น
- รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น
- ลดภาวะเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็งลำไส้
#detox #fiber #HOLISTA #ควบคุมน้ำหนัก #ดีท็อก #ดีท็อกลำไส้ยี่ห้อไหนดี #ดีท็อค #ดีท๊อก #ดีท๊อค #ท้องผูกทำไงดี #ปรับสมดุลลำไส้ #ลำไส้ #ล้างลำไส้ #ล้างสารพิษ #วิธีแก้กรดไหลย้อน #วิธีแก้ท้องผูกมาก #สมุนไพรดีท็อกลำไส้ #อาหารเสริม #เพื่อสุขภาพ #แก้ท้องผูก #ไฟเบอร์ดีท็อกซ์