โฮลิสต้า (ประเทศไทย) | HOLISTA

ปัญหาท้องผูก ต้องแก้ให้ถูกวิธี

ปัญหาท้องผูก ต้องแก้ให้ถูกวิธี

ไม่มีใครอยากมี ปัญหาท้องผูก แน่นอน เพราะอาหารท้องผูก ก็คือ อาการเริ่มต้น ต่อโรคอันตรายอื่นๆ ที่จะมาตามอีกมากโดยที่จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวันอย่างมาก อย่าง อาการท้องผูกเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และร้ายแรงไปกว่านั้นอาจจะก่อให้เกิด มะเร็งลำไส้ ได้ด้วยเช่นกัน รู้แบบนี้อย่านิ่งนอนใจ เพราะ อาการท้องผูกที่คิดว่าเรื่องจิ๋วๆ อาจจะทำร้ายสุขภาพที่ดีของคุณลงได้

ซึ่งใน อาการท้องผูก (ท้องผูก-อาการ สาเหตุ การรักษา) ของแต่ละคน อาจมีอาการที่แสดงออกถึงความรุนแรงของโรคได้ไม่เท่ากัน ด้วยวิถีชีวิต และกรรมพันธุ์ และกลไกในร่างกายที่แตกต่างกันไป ในบางคนอาจจะมีแค่อาการขับถ่ายที่ไม่คล่องเหมือนปกติ แต่ในบางคนอาจจะมีส่งผลให้ไม่สามารถขับถ่ายนานเป็นสัปดาห์เลยก็มี แล้วอาการแบบไหนที่จะเรียก ว่าคุณมีอาการท้องผูก จนเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาการท้องผูกแบบไหน ที่ต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกวิธีแล้ว รอบนี้เราจะมาไขข้อสงสัยนี้ให้กระจ่างกัน ตามมาดูกันเลยค่ะ

ท้องผูก_แก้ท้องผูก_ท้องผูก_อาการ
https://www.espreso.rs/data/images/2019/07/28/19/603861_wc-solja01-stock-daktilo_ls-s.jpg

หากคุณคือ คนที่อาจจะไม่ได้ขับถ่ายเป็นประจำทุกวัน มาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อได้ลองถามคนรอบข้างตัวเรา เขาดันสามารถขับถ่ายได้ทุกวัน เคยสงสัยว่าแบบนี้แล้วเราจะเรียกได้ว่า มี “อาการท้องผูก” (ท้องผูก-อาการ สาเหตุ การรักษา) หรือเปล่า แต่ถ้าจะให้สรุปให้เข้าใจเลยก็คือ

“ ถ้าเริ่มถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะผู้ที่มีสุขภาพดีจะถ่ายอุจจาระอยู่ในช่วงประมาณ 3-21 ครั้งต่อสัปดาห์นั่นเอง ส่วนเวลาขับถ่ายแล้วอุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง มีอาการเจ็บปวดเวลาที่ต้องเบ่ง มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ และสุดท้ายหากหลังถ่ายอุจจาระเรียบร้อยแล้วยังมีความรู้สึกถ่ายไม่หมดหรือถ่ายอุจจาระไม่สุดเสมอ ถ้าใครมีอาการแบบนี้ติดต่อกันตลอดเวลาขับถ่ายเสมอ แบบนี้ก็เข้าข่าย อาการท้องผูก ”

วิธีแก้ปัญหาท้องผูก ให้ถูกวิธี

หากคุณคือ หนึ่งใน ผู้ที่มีอาการท้องผูก รีบมาหาทางแก้ให้ถูกวิธีกันดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้น อาการท้องผูกนี้ อาจรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราให้ยุ่งยากกว่าเดิม และหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานและไม่ได้รับการรักษา ก็อาจเป็นต้นเหตุของ โรคร้ายอื่นๆ ตามมาได้

การทานอาหารกระตุ้นขับถ่ายแก้ท้องผูก

ท้องผูก_แก้ท้องผูก_ท้องผูกแก้ให้ถูกวิธี
https://images.pexels.com/photos/1389103/pexels-photo-1389103.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=2&h=650&w=940

ข้อแรกที่อยากแนะนำเลยก็คือ การแก้ท้องผูกด้วย การทานอาหารช่วยกระตุ้นการขับถ่าย อย่างอาหารที่มีไฟเบอร์ (แนะนำ ไฟเบอร์ดีท็อก ของดีต้องบอกต่อ) สูงเพิ่มมากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ซีเรียล และขนมปังธัญพืช เป็นต้น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณเนื้ออุจจาระให้ขับถ่ายง่ายขึ้น โดยควรเพิ่มปริมาณการบริโภคอย่างช้า ๆ เนื่องจากหากไฟเบอร์ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันอาจทำให้ท้องอืดและมีแก๊สในกระเพาะอาหารได้ รวมไปถึง ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ หากร่างกายขาดน้ำอาจส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อนแข็ง และอาจทำให้รู้สึกเจ็บขณะถ่ายอุจจาระได้

ท้องผูก_แก้ท้องผูก_ท้องผูกแก้ให้ถูกวิธี
https://images.pexels.com/photos/1881993/pexels-photo-1881993.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=2&h=650&w=940

แก้ท้องผูกด้วย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้กล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังส่งผลดีต่อระบบขับถ่ายด้วยสามารถทำงานได้ดีขึ้นด้วย

ท้องผูกต้องฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา

ท้องผูก_แก้ท้องผูก_ท้องผูกแก้ให้ถูกวิธี
https://www.freepik.com/free-photo/working-toilet_5400715.htm

ถ้าอยากแก้ท้องผูกให้ลอง ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ หากรู้สึกปวดควรรีบไปเข้าห้องน้ำทันที แต่ไม่ควรรีบเร่ง โดยควรใช้เวลาในการถ่ายอุจจาระอย่างเพียงพอ ไม่กลั้นอุจจาระโดยไม่จำเป็น ปวดเมื่อไหร่ควรรีบไปเข้าห้องน้ำ เพราะการกลั้นไว้สักระยะหนึ่งอาจทำให้หายปวดและทำให้เกิดการตกค้างของอุจจาระ จนเกิดปัญหาท้องผูกตามมาได้ ควรฝึกขับถ่ายให้เป็นนิสัย พยายามขับถ่ายให้ตรงเวลา โดยเฉพาะในตอนเช้าที่เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ทำงานมากที่สุด

อาหารเสริมไฟเบอร์หรือเส้นใยจากธรรมชาติ

ไฟเบอร์ดีท็อก_ดีท็อกHolista_FiberDetox_อาหารเสริมแก้ท้องผูก
‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox ’ ไฟเบอร์ดีท็อกลำไส้ ล้างสารพิษต่างๆ กระตุ้นการขับถ่าย และ ปรับสมดุลระบบภายในร่างกายให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

อาหารเสริมไฟเบอร์หรือเส้นใยจากธรรมชาตินี่แหละค่ะ ที่จะช่วยแก้อาหารท้องผูก และช่วยให้ง่ายต่อการขับถ่าย โดยก็มีตัวยามีหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด และแบบผงชงดื่มง่ายๆ ตัวอย่างเช่น อาหารเสริมที่มีไฟเบอร์สูงและมีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติแท้ ๆ อย่างตัวนี้เลยค่ะ Holista Fiber Detox โดย Holista Fiber Detox หรือ Holista Rebalance คือนวัตกรรม Health & Beauty Detox จาก USA ที่รวม Probiotic (โปรไบโอติกส์) + Prebiotic (พรีไบโอติกส์) และ Plant Enzyme เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งยังอุดมไปด้วยสารสกัดระดับพรีเมี่ยม 19 ชนิด อาทิ เปลือกองุ่น, เมล็ดองุ่น, ชาเขียว, Co Q10, แครนเบอร์รี่, อะเซโรล่าเชอร์รี่, กีวี, ขมิ้น, ทับทิม เป็นต้น

วิธีนี้สามารถช่วยแก้อาการท้องผูกเรื้อรังแบบลงลึกถึงต้นตอของปัญหา ช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น ขับถ่ายง่าย โล่งสบายท้อง ลดแก๊สในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการกรดไหลย้อน ช่วยขับล้างสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ ในเลือดและในตับด้วยนั่นเองค่ะ แนะนำเลยสำหรับคนที่มีปัญหา ท้องผูกบ่อยๆ ถ้าใครอยากหาลองหารีวิวเพิ่มเติม เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ รีวิว อาหารเสริมดีท็อกซ์ แบรนด์ HOLISTA (โฮลิสต้า) (รีวิว อาหารเสริมดีท็อกซ์ แบรนด์ HOLISTA (โฮลิสต้า)

ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการผ่าตัดแก้อาการท้องผูก

ท้องผูก_แก้ท้องผูก_ท้องผูกแก้ให้ถูกวิธี
https://images.pexels.com/photos/1919236/pexels-photo-1919236.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=2&h=650&w=940

สำหรับวิธีที่อยากจะแนะนำวิธีสุดท้ายหากอาการท้องผูกของคุณยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ก็คือ การเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อรับการผ่าตัด ทางเลือกนี้มักเป็นวิธีสำหรับกรณีที่ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง หรือปฏิบัติตามวิธีข้างต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น รวมไปถึงมีปัญหาท้องผูกที่อาจเกิดจากการอุดตัน ตีบแคบ หรือการหย่อนของลำไส้ และเข้าปรึกษาแพทย์ แล้วได้รับวินิจฉัยแล้วว่า อาจต้องผ่าตัดลำไส้บางส่วนออกไปเพื่อช่วยแก้อาการนี้ให้หายถาวรได้นั่นเองค่ะ

วิถีชีวิตที่ผิดเพี้ยนไป หรือการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันแบบที่ไม่เหมือนเดิม ก็อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ท้องผูก ได้ อย่างเริ่มสำคัญต่อระบบขับถ่ายที่สุดก็คือ “อาหารการกิน” หลายคนไม่ชอบทานผัก-ผลไม้ ชอบทานแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน หรือแป้งมาก ส่งผลยิ่งย่อยยาก กินแล้วทำให้ท้องอืด ท้องผูก รวมไปถึงการดื่มน้ำน้อยไม่เพียงพอต่อร่างกายต้องการ ส่งผลให้ มีอาการท้องผูกมาเยือนได้นั่นเองค่ะ

สำหรับใครที่กังวล อาการท้องผูกของตัวเอง และยังไม่ได้ที่อาการไม่รุนแรงมากจนถึงท้องผูกเรื้อรัง อาจใช้วิธีรักษาหรือบรรเทาอาการด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยวิธีที่เราได้แนะนำไปข้างต้น แต่สำหรับในบางรายที่เริ่มสังเกตได้ว่า คุณอาจเข้าข่าย อาการท้องผูกเรื้อรัง (ท้องผูกเรื้อรัง แก้ได้ ด้วยสูตรธรรมชาติ) หรืออาการท้องผูกของคุณนี้เริ่มส่งผลเสียกับชีวิตประจำวันคุณมากขึ้นแล้ว อาจต้องรักษาด้วยการใช้ยา หรือด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างการผ่าตัด ทางที่ดีถ้าไม่อยากแก้ที่ปลายเหตุ ให้เริ่มสังเกตสุขภาพตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ เพราะ อาการท้องผูก นี้ เป็นอาจเป็นสัญญาณแฝงของโรคอื่นก็เป็นได้ค่ะ

ใครอยากสุขภาพดีห้ามพลาด! รีวิว ‘ดีท็อกแบบชง’ ที่ฮิตที่สุดๆ ในตอนนี้

ใครอยากสุขภาพดีห้ามพลาด! รีวิว ‘ดีท็อกแบบชง’ ที่ฮิตที่สุดๆ ในตอนนี้

ใครที่กำลังเจอกับปัญหา ท้องผูก หรือ ท้องอืด เล่นงาน อย่าคิดว่าเป็นแค่เรื่องจิ๋วๆ เด็ดขาดเลยนะคะ!

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน หรือ วัยสูงอายุ (ผู้สูงอายุท้องผูก) ก็มีสิทธิ์ที่จะต้องเจอกับปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบขับถ่ายได้ทั้งนั้นเลยนะ ก็เพราะว่าสำหรับบางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางไลฟ์สไตล์แบบเร่งรีบ ก็อาจจะไม่ค่อยมีเวลาที่จะดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่มีเวลาไปหาผักผลไม้มาทาน จนทำให้เจ้าปัญหาท้องผูกถามหาเอาได้ง่ายๆ ส่วนในผู้สูงวัย ยิ่งอายุที่เพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ช้าลง จนส่งผลทำให้การขับถ่ายไม่สม่ำเสมอได้นั่นเองค่ะ
: ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก
โดนปัญหา ท้องผูก เล่นงานซะแล้ว!

แล้วก็อย่าเพิ่งคิดกันไปเองว่าอาการท้องผูก ท้องอืด หรือการขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ จะเป็นเรื่องธรรมดาสุดแสนเบสิค ที่เพียงแค่รอเวลาให้ผ่านไปแล้วมันจะหายไปเองได้นะคะ เพราะยิ่งถ้าเราปล่อยให้ท้องผูกนานๆ เข้า ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดแน่นอยู่ในท้อง จนกลายเป็นพุงป่องๆ ท้องบวมๆ แถมยังทำให้มีสารพิษตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายได้อีกด้วยนะ

แล้วเราขอเตือนเอาไว้เลยนะว่าการที่ร่างกายมีสารพิษสะสมอยู่ ก็สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาในอนาคตได้ ที่สำคัญยังส่งผลเสียต่อผิวพรรณที่เคยสวย เปล่งปลั่ง กระจ่างใส ให้กลายเป็นผิวหมองคล้ำไม่สดใส บวกกับโดนสิวตัวร้ายเข้าเล่นงานได้เหมือนกัน… เห็นมั้ยล่ะคะว่าแค่ปัญหาท้องผูกที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว ถือเป็นภัยเงียบที่คอยทำร้ายทั้งสุขภาพกาย สุขภาพผิวพรรณ และคุณภาพชีวิตของคนเราได้เลยนะคะเนี่ย
ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก
ดีท็อกลำไส้ ด้วย ดีท็อกแบบชง ช่วยแก้ท้องผูก

แต่!!! อย่าได้กังวลใจกันมากไปค่ะ เพราะทุกปัญหาสุขภาพย่อมมีทางแก้ไขได้เสมอ แล้วถ้าใครกำลังมองหาตัวช่วยดีๆ ที่จะมาเป็นฮีโร่ในการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาอาการท้องผูกได้แบบลึกถึงต้นตอ เราก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดีท็อกแบบชงที่กำลังฮิตสุดๆ ในตอนนี้มาบอกต่อกันด้วยล่ะ ดีท็อกตัวที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ (แนะนำ ไฟเบอร์ดีท็อก ของดีต้องบอกต่อ) หรือที่หลายคนเรียกกันจนติดปากว่า ‘ ดีท็อกโฮลิสต้า ’ นั่นเองค่ะ อ๊ะ! บางคนอาจกำลังสงสัยว่า เจ้าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มันคืออะไร? มีส่วนผสมอะไรบ้าง? แล้วดีต่อสุขภาพร่างกายยังไง? ถ้าอย่างนั้นก็ตามไปหาคำตอบพร้อมกันได้เลยค่ะ…

ดีท็อก ‘ HOLISTA Probiotic Fiber Detox ’ คืออะไร?

ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก
ดีท็อกลำไส้ HOLISTA Probiotic Fiber Detox ’ คืออะไร

ก่อนอื่นเราก็ขอพา #สายเฮลท์ตี้ ทั้งหลายมาทำความรู้จักกับ ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ กันเลยดีกว่าค่ะ เจ้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวนี้เป็นดีท็อกแบบชง ที่ผ่านการพัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยเกี่ยวกับจุลินทรีย์ในร่างกาย ที่สามารถฟื้นฟูระบบลำไส้ได้แบบไม่ต้องพึ่งยา ซึ่งงานวิจัยแต่ละแห่งก็ยืนยันคอนเฟิร์มออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า PROBIOTICPREBIOTIC และ SYMBIOTIC ล้วนเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมทั้งด้านอารมณ์ สุขภาพ และ ผิวพรรณของมนุษย์เลยทีเดียว

ทางแบรนด์ ‘HOLISTA’ เลยนำเข้า PROBIOTIC จากสหรัฐอเมริกา ที่มีผลวิจัยแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูระบบลำไส้ได้มากกว่าโปรไบโอติกทั่วไปถึง 90% เลยนะคะ แบบนี้ดีท็อกโฮลิสต้าเลยสามารถช่วยฟื้นฟูและปรับสมดุลให้กับระบบสำคัญต่างๆ ภายในร่างกาย ให้ทำงานได้เต็มที่ขึ้นกว่าเดิม
ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก
ดีท็อกแบบชงตัวดัง ช่วยแก้อาการท้องผูก จาก HOLISTA Probiotic Fiber Detox

แล้วถ้าพูดถึงความโดดเด่นอีกหนึ่งอย่างของดีท็อก ‘HOLISTA’ เราขอบอกเลยนะคะว่าแบรนด์นี้เขาขึ้นชื่อในเรื่องของความปลอดภัยแบบสุดๆ ไปเลยล่ะ เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวนี้มีส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติ 100% มีผลวิจัยรับรองส่วนผสมจาก Wageningen Academic Publishers ที่สหรัฐอเมริกา ที่สำคัญนอกจากจะมี อย. รับรองอย่างถูกต้องว่าปลอดภัยชัวร์ๆ แล้ว ยังผ่านมาตรฐาน GMP และ HACCP ระดับสากลอีกด้วยนะคะ บอกได้คำเดียวว่าดีท็อกตัวนี้ทานได้แบบไม่เป็นอันตรายเลย

ส่วนผสมตัวเด็ดในดีท็อก ‘ HOLISTA ’ มีอะไรบ้าง?

ดีท็อก HOLISTA อันแน่นไปด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติล้วนๆ

โดยส่วนผสมตัวเด็ดใน ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวนี้ สามารถช่วยปรับสมดุลลำไส้ กระตุ้นการย่อยอาหารและการขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ก็เพราะมีทั้ง

Probiotic’ นำเข้าจาก USA เป็นจุลินทรีย์ตัวดีสายพันธ์พิเศษ ที่สามารถผ่านน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เข้าไปปรับสมดุลระบบนิเวศน์ของลำไส้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าช่วยให้ดีท็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ‘Prebiotic’ สกัดจาก Acacia เป็นอาหารที่ช่วยบำรุงจุลินทรีย์ตัวดี ให้สามารถฟื้นฟูลำไส้อย่างเต็มศักยภาพ ช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและสารพิษต่าง ๆ ในลำไส้ ให้ขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ หลังถ่ายท้องแล้วก็จะช่วยให้ลำไส้สะอาดขึ้น รู้สึกโล่งสบายท้อง ‘Plant Enzyme’ เอนไซม์ธรรมชาติที่สกัดจากผล Golden Kiwi ส่วนผสมตัวนี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและการดูดซึมอาหาร ให้ทำงานได้สมบูรณ์ขึ้น แบบนี้เลยช่วยลดอาการท้องอืดและกรดไหลย้อน พร้อมทั้งช่วยให้ดีท็อกลำไส้ได้ดีขึ้นกว่าเก่านั่นเอง นอกจากนี้ดีท็อก ‘HOLISTA’ ก็ยังมีส่วนผสมของสารสกัดสำคัญอีก 9 ชนิด ได้แก่ ทับทิม, เมลอน, อโซโรล่า เชอร์รี่, แครนเบอร์รี่, เมล็ดองุ่น, ชาเขียว, Co Q10, L-Glutathione และ Pine Bark ที่ผสานพลังกันมา ช่วยปรับสมดุลลำไส้และกระตุ้นระบบขับถ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วยนะคะ

วิธีดื่มดีท็อก ‘ HOLISTA ’ ให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด?

ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก_HOLISTA
ดีท็อกแบบชงตัวดัง ช่วยแก้อาการท้องผูก จาก HOLISTA Probiotic Fiber Detox

อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ‘ HOLISTA Probiotic Fiber Detox ’ เป็นดีท็อกแบบชง เลยสามารถดื่มได้ง่าย สะดวก รวดเร็วทันใจกันสุดๆ ไปเลยล่ะ เพียงแค่รับประทานวันละ 1 ซอง โดยฉีกซองเทผงดีท็อกผสมน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็น 150 – 200 มล. คนให้เข้ากันแล้วดื่มทันที เสร็จแล้วก็ให้ดื่มน้ำเปล่าตามอีก 1 แก้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของในการทำงาน ปล. ควรดื่มก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แล้วถ้าเลือกดื่มในช่วงเวลา 20.00 – 22.00 น. ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพให้สอดคล้องกับระบบการทำงานของร่างกายมากขึ้นกว่าเดิมนะ

แล้วยังสามารถปรับเปลี่ยนเวลาดื่มดีท็อกโฮลิสต้า ให้เหมาะกับประสิทธิภาพและตรงความต้องการได้อีกด้วยล่ะ โดยถ้าใครอยากจะกระตุ้นให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า ก็ให้ดื่มโฮลิสต้าก่อนเข้านอน 1 – 2 ชั่วโมง หรือหลังมื้อเย็น ส่วนใครอยากจะควบคุมน้ำหนัก ก็ให้ดื่มโฮลิสต้าก่อนมื้ออาหารเย็น 15 นาที หรือจะเลือกดื่มโฮลิสต้าในช่วงเช้า เพื่อกระตุ้นการขับถ่ายในช่วงเย็น ก็เลือกดื่มกันได้ตามใจชอบเลย

ผลลัพธ์หลังทานดีท็อก ‘ HOLISTA ’ ดีต่อร่างกายยังไง?

ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก_HOLISTA
ดีท็อก_ดีท็อกแบบชง_แก้ท้องอืด_แก้ท้องผูก_HOLISTA

เราต้องขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ ตัวนี้ถือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ดูแลครบจบในซองเดียว เพราะทานเข้าไปแล้วจะช่วยปรับสมดุลลำไส้ ฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร และล้างสารพิษในร่างกาย เลยหมดปัญหาอาการท้องผูกไปได้ง่ายๆ แบบเห็นผลตั้งแต่ซองแรกที่ดื่มเลยทีเดียว แล้วดีท็อกตัวนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องการปรับให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้นนะคะ แต่ยังช่วยปรับสมดุลของระบบต่างๆ ภายในร่างกายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น ช่วยบล็อคแป้งและไขมัน สามารถดื่มแทนอาหารมื้อเย็นเพื่อควบคุมน้ำหนัก แบบนี้พอระบบภายในทำงานได้ดี ก็ส่งผลให้ผิวภายนอกของเราดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ขึ้นได้

・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・ สุดท้ายนี้เราก็ต้องขอย้ำให้ทุกคนฟังกันอีกสักครั้งนะคะว่า ร่างกายของคนเราก็เหมือนกับรถยนต์ พอเวลาผ่านไป ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง ก็อาจทำให้ระบบบางอย่างชำรุดไปบ้าง แต่ร่างกายไม่สามารถหาอะไหล่มาเปลี่ยนแทนได้เหมือนกับเครื่องยนต์รถหรอกนะ ฉะนั้นถ้าอยากจะฟื้นฟูระบบต่างๆ ให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง ก็ต้องหมั่นขยันดูแลเอาใจใส่ร่างกายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แล้วก็อย่าลืมหาตัวช่วยดีๆ อย่าง ‘ HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ (สูตรดีท็อกลำไส้) มาช่วยรีบูทสารพิษตกค้าง ไปพร้อมๆ กับการรีบาลานซ์ปรับสมดุลระบบร่างกาย เท่านี้ก็เราทุกคนก็มีสุขภาพที่ดีและผิวพรรณที่สดใสกันได้ง่ายๆ ตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกแล้วล่ะค่ะ

เลือกกินให้เหมาะกับวัย… ไขข้อสงสัย ‘วัยทอง’ กินอะไรดี?

เลือกกินให้เหมาะกับวัย… ไขข้อสงสัย ‘วัยทอง’ กินอะไรดี?

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นก็ย่อมส่งผลให้ร่างกายของคนเราเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เริ่มต้นจากวัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน ก็เปลี่ยนผ่านมาจนเข้าสู่ ‘วัยทอง’ อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันจนคุ้นหู แต่คนส่วนใหญ่มักจะชอบคิดว่าอาการวัยทองเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงเท่านั้น เพราะชอบเปรียบเปรยกันจนติดปากว่าผู้หญิงที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อยหรือมีอาการหงุดหงิดง่ายน่ะเป็น ‘สาววัยทอง’ ยังไงล่ะคะ

แต่เราต้องขอบอกเลยนะว่าจริงๆ แล้ว ช่วง ‘วัยทอง’ เนี่ย สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่แตกต่างกัน โดยส่วนมากจะเกิดกับคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เรียกง่ายๆ ว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างวัยเจริญพันธ์กับวัยผู้สูงอายุ ซึ่งใครที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทองก็มีเรื่องที่ต้องระมัดระวังด้านสุขภาพไม่น้อยเลยล่ะ

‘วัยทอง’ คืออะไร?

วัยทอง_กินอะไรดี_ดีท็อกลำไส้
ตอบคำถาม วัยทอง คืออะไร?

สำหรับบางคนที่อาจยังคงสงสัยและไม่ค่อยเข้าใจว่า ‘ วัยทอง ’ คืออะไรกันแน่? มาค่ะ! เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ … ‘วัยทอง’ ก็คือช่วงวัยของผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุอยู่ในช่วง 40 – 59 ปี ถือเป็นวัยที่ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผลิตฮอร์โมนเพศที่ลดน้อยลง อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเริ่มที่จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาวะอารมณ์และจิตใจ เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่ากำลังขยับเข้าสู่วัยเลขสี่ ก็ต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ดี แล้วต้องไม่ลืมที่จะหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยนะคะ

อาการของคนเริ่มเข้าสู่ ‘ วัยทอง ’?

เมื่อคนเราเริ่มเข้าสู่ ‘วัยทอง’ ระบบต่างๆ ภายในร่างกายก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะระบบฮอร์โมนที่ผลิตออกในปริมาณที่น้อยลงกว่าตอนที่ยังเป็นหนุ่มสาว ซึ่งสำหรับผู้หญิงเราแล้วระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สร้างจากรังไข่จะค่อยๆ ผลิตได้น้อยลง ส่งผลทำให้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและไม่มีการตกไข่อีกต่อไป ส่วนผู้ชายฮอร์โมนแอนโดรเจนก็จะเริ่มลดการผลิตลงไปเรื่อยๆ นั่นเองค่ะ

วัยทอง_เป็นยังไง
Cr. https://i.pinimg.com/564x/6b/09/1d/6b091dbfb369102a01e329641170668c.jpg

ซึ่งระดับฮอร์โมนที่ลดลงทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ก็สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย ด้านจิตใจ แถมยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยนะ อย่างเช่น

– สมาธิสั้น หลงลืม หงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน จากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป
– รู้สึกร้อนวูบวาบ ไม่สบายตัว มีเหงื่อออกตามร่างกายในช่วงเวลากลางคืน ส่งผลให้มีปัญหาเรื่องการนอน มีอาการนอนไม่หลับ ร่างกายและสมองพักผ่อนไม่เพียงพอ
– ผิวหนังเริ่มเหี่ยวยาน หนังศีรษะบาง ผมร่วง เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศ
– พอเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ก็จะทำให้เนื้อเยื่อช่องคลอดแห้งและขาดความยืดหยุ่น
– กระดูกอาจบางลงมากกว่าเดิม จนทำให้กระดูกแตกหรือหักได้ง่าย
– ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่เต็มที่ ลำไส้เคลื่อนตัวช้าลง ส่งผลให้มีอาการท้องอืดและท้องผูกง่าย

‘วัยทอง’ ควรกินอะไรดี?

พอรู้ตัวว่าร่างกายของตัวเองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่คนวัยทองควรทำเป็นอันดับต้นๆ เลยก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับร่างกายของตัวเองที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยที่เปลี่ยนผันไปด้วยนะคะ เพราะว่าสารอาหารที่เราได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ ก็จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ยังคงแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นหรือฮอร์โมนจะลดลงแค่ไหนก็ตามค่ะ

วัยทอง_กินอะไรดี_ดีท็อกลำไส้
Cr. https://i.pinimg.com/564x/52/9d/26/529d26908937fbda447c44acdee00e62.jpg

อ๊ะ! พอพูดถึงเรื่องอาหารหารกินของคนวัยทอง หลายๆ คนอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า ‘คนวัยทองควรกินอะไรดี? (ผู้สูงอายุท้องผูก’ นี้อย่านิ่งนอนใจ! รวมวิธีแก้ท้องผูกสำหรับผู้สูงวัย) หรือ ‘อาหารแบบไหนที่เหมาะกับวัยทอง?’ เราเลยไม่พลาดที่จะมาแนะนำวิธีการเลือกทานอาหารที่เหมาะกับคนในช่วงวัยทอง ให้ได้ลองหามารับประทานเพื่อบำรุงสุขภาพให้กับตัวเองด้วยล่ะ

เลือกทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยไหน การเลือกทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นคนวัยทองเลยควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วนทุกหมู่ แล้วอย่าลืมเพิ่มเมนูผักและผลไม้เข้าไปในอาหารแต่ล่ะมื้อด้วยนะคะ เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยเส้นใยไฟเบอร์ปริมาณสูง เลยช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น

เลือกทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง

พอเริ่มเข้าสู่วัยทองก็จะพบว่ากระดูกของเราจะเกิดอาการพรุนและเสื่อมสภาพลงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แบบนี้เราเลยอยากแนะนำให้คนวัยทองเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง อย่างเช่น นม, เต้าหู้, ธัญพืช, ผักใบเขียว, ปลาตัวเล็ก ฯลฯ เพื่อทดแทนแคลเซียมที่ถูกทำลายไป และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง

หลังจากที่ได้แนะนำอาหารที่คนวัยทองควรเลือกทานไปแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาเปลี่ยนมาดูอาหารที่วัยทองควรหลีกเลี่ยงบ้างดีกว่าค่ะ เราขอเตือนเอาไว้เลยนะคะว่าควรควบคุมปริมาณอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน, เนย, ไข่แดง, กุ้ง, ปลาหมึก ฯลฯ เพราะเมนูพวกนี้หากทานเข้าไปในปริมาณมากๆ อาจกระตุ้นให้ระดับไขมันในเส้นเลือดสูงขึ้นจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้นะคะ

…‘ HOLISTA ’ ตัวช่วยสำคัญสำหรับคน วัยทอง ปรับสมดุลร่างกาย…

วัยทอง_กินอะไรดี_ดีท็อกลำไส้_ปรับสมดุลร่างกาย
ดีท็อกลำไส้ เหมาะสำหรับคนวัยทอง ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ล้างสารพิษ

แล้วอีกหนึ่งอย่างที่เราอยากจะแนะนำให้คนวัยทองเลือกทานเสริมเข้าไป ก็คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ (สุขภาพดี ใครก็มีได้! รีวิวดีท็อก แบรนด์ ‘HOLISTA’ ตัวช่วยปรับสมดุล รีบูทร่างกาย) ที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการช่วยปรับสมดุลระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองค่ะ โดยผลิตภัณฑ์โฮลิสต้าก็เหมาะกับคนที่อยู่ในช่วงวัยทองแบบสุดๆ เพราะมีส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติ 100% ผสานพลังมาพร้อมกันกับ Probiotic จุลินทรีย์นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา, Prebiotic และ Plant Enzyme ที่ช่วยปรับระบบในร่างกายที่เสื่อมสภาพให้กลับมาทำงานได้อย่างสมดุลมากยิ่งขึ้น พอดื่มเข้าไปแล้วจะช่วยเข้าไปปรับสมดุลลำไส้, แก้อาการท้องผูกลึกถึงต้นตอ, ฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร และล้างสารพิษในร่างกาย เหมือนได้รีบูทร่างกายใหม่อีกครั้งเลยทีเดียว

・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・

รู้แบบนี้แล้วถ้าไม่อยากจะพบเจอกับปัญหาสุขภาพตามมาในระยะยาว วัยทอง ทั้งหลายก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เหมาะกับช่วงวัย และสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของตัวเองกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลยค่ะ โดยควรเลือกทานอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ เน้นทานพวกผักและผลไม้เป็นส่วนมาก รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพื่อเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง แล้วถ้าอยากจะรีบาลานซ์ระบบภายในให้สมดุลขึ้น ก็ต้องลองหาซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ‘HOLISTA’ มาเป็นตัวช่วยเสริมแรงในการปรับสมดุลร่างกายให้กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้งกันด้วยนะคะ

ทำไมต้อง ดีท็อกล้างลำไส้? ตอบทุกคำถามแบบเคลียร์ๆ

ทำไมต้อง ดีท็อกล้างลำไส้? ตอบทุกคำถามแบบเคลียร์ๆ

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista
ภาพโดย Free-Photos จาก Pixabay

ปกติร่างกายของคนเรานั้นมีการขับถ่ายและกำจัดของเสียตามธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ แต่จะมีบางช่วง บางจังหวะชีวิต ที่จู่ๆ ท้องไส้ก็เกิดรู้สึกอึดอัด อยากขับมันออกไปจากร่างกาย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายอาจได้รับสารพิษมากเกินไป หรือมีของเสียคั่งค้างและกำจัดได้ไม่หมด ซึ่งเป็นผลเสียต่อร่างกายของเรามากๆ ไม่ใช่แค่อึดอัดไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลต่อผิวพรรณของเรา ทำให้ผิวพรรณดูไม่สดใส ไม่มีชีวิตชีวาตามไปด้วย ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการขับของเสียออกจากร่างกายคือ การ “ดีท็อกล้างลำไส้” นั่นเอง

การดีท็อกล้างลำไส้ หรือ Detoxification นั้นแท้จริงแล้วความหมายของมันก็คือ การขจัดสารพิษและสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกายของเรา โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ นั่นเองค่ะ หลายคนอาจจะเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเราจะต้องดีท็อกล้างลำไส้ด้วย แล้วมันดีหรือไม่ดียังไง วันนี้เราจะมาตอบทุกๆ คำถามกัน เพราะฉะนั้นเราไปทำความเข้าใจเรื่องการดีท็อกล้างลำไส้กันเลยดีกว่า

ทำไมต้องดีท็อกล้างลำไส้

การที่ต้องดีท็อกล้างลำไส้ก็เพื่อทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรก ของเสีย รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ออกไป เวลาที่ของเสียต่างๆ ถูกกำจัดออกไปไม่หมด อาจส่งผลร้ายต่อร่างกายได้นะ เรื่องของท้องผูกเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันอาจจะไม่ได้จบแค่ท้องผูก บางครั้งอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่านั้น เช่น โรคเกี่ยวกับลำไส้ ทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรง ปัญหากลิ่นปาก กลิ่นตัว รวมไปถึงปัญหาผิวพรรณด้วย ฉะนั้นการดีท็อกลำไส้ จึงเป็นทางออกที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากๆ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาท้องผูกอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตับ ถุงน้ำดี ไต ตับอ่อน และต่อมน้ำเหลือง รวมไปถึงส่วนอื่นๆ ในร่างกายของเราอีกด้วยค่ะ

ดีท็อกล้างลำไส้ จำเป็นหรือไม่ มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือ ?

บางคนอาจสงสัยว่าการดีท็อกลำไส้นั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของคนเราสามารถกำจัดสารตกค้างและสารพิษบางอย่างได้ เช่น สารอนุมูลอิสระ เป็นต้น อีกทั้งโดยทั่วไปคนสามารถลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ออกกำลังกายเป็นประจำ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ดีท็อกล้างลำไส้ จำเป็นรึเปล่า ?

บางคนอาจจะมีความสงสัยว่า ทำไมเราจะต้องดีท็อกลำไส้กันด้วย มีความจำเป็นขนาดไหน วันนี้เรามาหาคำตอบกันว่าจริงๆ แล้วการดีท็อกนั้น จำเป็นต่อร่างกายของเราหรือไม่

ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของเราสามารถขับหรือขจัดสารพิษที่ตกค้างบางอย่างออกไปจากร่างกายได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้นการดีท็อกลำไส้จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ที่หลายๆ คนนิยมหยิบมาใช้กัน เพราะเชื่อกันว่าอาจช่วยทำความสะอาดสารพิษที่เกาะอยู่บริเวณผนังลำไส้, ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น, ช่วยทำให้อารมณ์ดี มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น, ช่วยลดน้ำหนัก, ตลอดจนอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการยืนยันออกมาว่าวิธีนี้มีความจำเป็นขนาดไหน แม้จะมีผลดี แต่ก็มีผลเสียเช่นเดียวกัน ฉะนั้นควรศึกษาข้อมูลให้ดีๆ ก่อนนะคะ

ข้อควรระวังในการดีท็อกล้างลำไส้

อย่างที่ว่าไว้ข้างต้น การทำดีท็อกควรศึกษาข้อมูลก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่แน่ใจ อย่าลองเอง ให้ปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สอบถามข้อมูลต่างๆ ให้ดีๆ สำหรับใครที่ซื้อยาหรืออาหารเสริมมาทานเอง แนะนำว่าอย่าเชื่อรีวิวเพียงอย่างเดียว ควรตรวจสอบเลขที่ใบจดแจ้ง สรรพคุณ ส่วนประกอบ และรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองด้วยนะคะ สำหรับคนที่อยากจะดีท็อกแบบพึ่งพาแพทย์ แนะนำว่าให้เลือกสถานประกอบการที่มีเจ้าหน้าที่ที่น่าเชื่อถือ ทั้งต้องมีการใช้อุปกรณ์ที่สะอาดและไม่นำอุปกรณ์นั้นมาใช้ซ้ำ อย่างไรก็ตาม การหาข้อมูลของทั้งโรพยาบาลและอาหารเสริมหรือยาต่างๆ ก็เป็นส่วนที่สำคัญมากๆ ฉะนั้นจะละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาดนะคะ

ข้อดีของการดีท็อกล้างลำไส้

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista
ดีท็อกล้างลำไส้อาจไม่จำเป็น แต่ถ้ามีผลดีกับร่างกาย ช่วยเรื่องสุขภาพได้ ก็น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ?

แน่นอนว่าการดีท็อกมีผลดีต่อร่างกายค่ะ เพราะถ้าไม่ดี เราคงไม่เลือกใช้วิธีนี้ การดีท็อกเป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยกำจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างภายในลำไส้ ทั้งยังช่วยปรับสมดุลร่างกาย ฟื้นฟูระบบต่างๆ กระตุ้นการขับถ่าย แก้อาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากนี้การดีท็อกยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย เชื่อว่าช่วยให้รูปร่างของเราดีขึ้น สามารถลดพุงได้ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย ใครที่มีปัญหาสิว ผิวไม่สดใส แนะนำให้ลองดีท็อกล้างลำไส้สักครั้ง ช่วยได้เยอะจริงๆ ค่ะ

ดีท็อกล้างลำไส้มีประโยชน์อะไรบ้าง

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista
ใครเป็นสายกินดึก การดีท็อกล้างลำไส้ช่วยได้นะ

การดีท็อกล้างลำไส้เรียกว่าเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีที่เราสามารถทำได้ตามแนวทางธรรมชาติค่ะ ซึ่งการดีท็อกล้างลำไส้จะช่วยทำความสะอาดลำไส้และแบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย ลดการสะสมสารพิษและเมื่อสารพิษต่าง ๆ ถูกชะล้างออกไป ลำไส้ก็จะทำงานได้ตามปกติ ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่นขึ้น ถ้าเราไม่ดีท็อกลำไส้เลย การที่มีของเสียไปตกค้างที่ลำไส้มากๆ อาจจะส่งผลให้ลำไส้อ่อนแอ ฉะนั้นเมื่อมีการดีท็อกล้างลำไส้แล้วจะช่วยให้กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น กำจัดของเสียได้มากขึ้น ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างในลำไส้นั่นเอง

นอกจากนี้การดีท็อกยังช่วยให้ลำไส้ของเรากลับมามีขนาดที่ปกติดังเดิม เพราะถ้ามีของเสียอุดตันในลำไส้ จะทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติและจะทำให้รูปร่างของลำไส้เปลี่ยนแปลงไป เช่น มีอาการบวมหรือโป่ง แต่เมื่อเราทำการล้างลำไส้เอาสารพิษออกไป ก็จะช่วยให้รูปร่างของลำไส้กลับมาเป็นปกติตามธรรมชาติ ส่งผลให้ระบบการทำงานในร่างกายดีขึ้นตามไปด้วยนั่นเองค่ะ
อย่างไรก็ตาม ตามหลักกลไลของร่างกายมนุษย์เราจะมีการกำจัดของเสียอยู่แล้ว ดังนั้นจริงๆ แล้วการดีท็อกล้างลำไส้จึงไม่ได้จำเป็นที่ต้องทำตลอดค่ะ ลองเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ อาหารไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปไว้เป็นพื้นฐานก่อน ส่วนการดีท็อกล้างลำไส้นั้น หากทำเพื่อแก้อาการท้องผูก ทำให้ลำไส้กลับมาทำงานได้ตามปกติและให้ร่างกายมีความสดชื่นมากขึ้นก็ควรจะทำทุก 1 เดือนจนกว่าอาการจะดีขึ้นค่ะ

อันตรายจากการดีท็อกล้างลำไส้

อย่างที่กล่าวไปในตอนแรกค่ะว่าการดีท็อกนั้นเป็นกระบวนการตามธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงเป็นทุนเดิมก็ไม่ต้องมีความกังวลว่าจะเกิดผลเสียอะไร รวมถึงไม่มีการสูญเสียเกลือแร่ที่เกิดจากการดีท็อกด้วย เนื่องจากร่างกายได้ทำการดูดซึมน้ำและเกลือแร่เอาไว้แล้ว สิ่งที่ถูกขับออกมาคืออุจจาระนั้นจึงเป็นเพียงของเสียที่ร่างกายจะขับออกมาตามกระบวนการ และไม่มีผลต่ออาการอ่อนเพลียแต่อย่างใด สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติหลังจากทำการดีท็อกล้างลำไส้แล้วค่ะ

อย่างไรก็ตามการดีท็อกนั้นใช่ว่าจะมีแต่ผลดีเท่านั้น หากเราทำบ่อยเกินไปหรือทำอย่างไม่ถูกวิธี ก็อาจส่งผลเสียให้กับร่างกายได้เช่นกันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น อาจจะทำให้ร่างกายเสียน้ำและแร่ธาตุหรือเสี่ยงต่อการได้รับพลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการหน้ามืด อ่อนเพลีย หมดแรงและเป็นลมได้ ไปจนถึงขั้นที่ว่าระบบขับถ่ายแปรปรวนและไม่สามารถทำงานได้เองตามปกติ ต้องพึ่งแต่การดีท็อกอย่างเดียวเท่านั้น ฉะนั้นควรดีท็อกซ์ให้ถูกวิธีและอย่าคิดว่าการดีท็อกคือการลดน้ำหนัก เพราะอาจจะเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกายของเราได้นะคะ

ประเภทของการดีท็อกล้างลำไส้

จริงๆ แล้ววิธีการดีท็อกล้างลำไส้นั้นมีอยู่หลายวิธีค่ะ ซึ่งในเบื้องต้นคุณสามารถปรับได้จากพฤติกรรมของตัวคุณเอง ไม่ว่าจะการกิน การออกกำลังกาย การดื่มน้ำ เป็นต้น แต่ถ้าวันนี้คุณเกิดอาการท้องผูกหรืออึดอัดท้องไส้ล่ะก็ การดีท็อกล้างลำไส้ก็ถือเป็นวิธีที่จำเป็นวิธีหนึ่งเลยค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วการดีท็อกนี้ก็มีหลายประเภทเลยทีเดียว เราลองไปดูประเภทของการดีท็อกกันหน่อยดีกว่า จะมีวิธีแบบไหนบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ

การดีท็อกล้างลำไส้โดยการกิน : เป็นการใช้การกินในการแก้ปัญหา คือการเลือกกินอาหารที่สดใหม่ ไม่มีสารเคมีและสารพิษตกค้าง ทั้งยังไม่ผ่านกรรมวิธีการขัดสีหรือหมักดอง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและระบบขับถ่ายให้เร่งนำสารตกค้างที่ไม่ดีออกมาและรับสารอาหารที่ดีเข้าไปทดแทน

การดีท็อกล้างลำไส้โดยการสวนลำไส้ : ว่ากันว่าเป็นวิธีที่นิยมทำกันมากที่สุด เพราะเชื่อว่าเป็นการนำของเสียที่ตกค้างในลำไส้ออกมาอย่างรวดเร็วและทำให้ลำไส้สะอาด นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูกได้ด้วย แต่วิธีนี้จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ ไม่งั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

การดีท็อกล้างลำไส้โดยการอดอาหาร : วิธีนี้จะช่วยพักระบบการย่อยอาหาร ทั้งยังช่วยลดการสะสมของเสียในลำไส้ด้วย ซึ่งการอดอาหารอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 – 2 วัน ให้ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้เท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นการขับถ่ายของเสียออกมา

การดูแลสุขภาพโดยไม่พึ่งดีท็อกล้างลำไส้

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista
ดีท็อกล้างลำไส้ไม่ได้น่ากลัว แต่ง่ายกว่าที่คิดเยอะ

จริงๆ แล้วพอได้ยินคำว่า ดีท็อกล้างลำไส้ หลายๆ คนอาจจะถึงขั้นกลัวหรือกังวลใจไปต่างๆ นานา นึกภาพไม่ออกว่าจะออกมาท่าไหนยังไง หรือจะเจ็บจะทรมานมั้ย ขอบอกเลยว่าไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะจริงๆ แล้วคุณสามารถดูแลสุขภาพลำไส้ของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งการดีท็อกด้วยซ้ำ และเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพลำไส้อย่างท้องเสีย ท้องอืด หรือท้องผูก วิธีที่ดีที่สุดคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตัวคุณเอง ลองเลือกทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น วิธีนี้จะช่วยทำความสะอาดลำไส้ กระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและกำจัดของเสียออกไปจากร่างกายได้ เพียงแค่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อแดงในปริมาณมากเกินไป ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และสุดท้าย สำคัญมากๆ คุณควรลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วยนะคะ

อย่างไรก็ตามหากกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายเรายังไม่เพียงพอ อีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดที่เราอยากแนะนำก็คือ HOLISTA Rebalance นั่นเองค่ะ

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista
ดีท็อกล้างลำไส้ ทำไมต้อง Holista ?

Holista Rebalance คือ นวัตกรรม Health & Beauty Detox ที่นำเข้าจาก USA ที่รวม Probiotic (โปรไบโอติกส์) + Prebiotic (พรีไบโอติกส์) และ Plant Enzyme เข้าไว้ด้วยกัน โดยตัวนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการช่วยแก้อาการท้องผูกแบบลงลึกถึงต้นตอของปัญหา โดยจะช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น ขับถ่ายง่าย และโล่งสบายท้อง และปรับสมดุลลำไส้ได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูระบบขับถ่ายได้อย่างดีเลิศ อีกทั้งยังช่วยขับล้างสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ ในเลือด และในตับ ช่วยปรับสมดุลลำไส้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้แล้วยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์ขึ้นด้วยค่ะ

HOLISTA Rebalance ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายและสามารถเข้าถึงทุกๆ คนได้ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถช่วยเรื่องท้องผูกได้โดยตรง ทั้งยังช่วยปรับสมดุลลำไส้ ฟื้นฟูระบบย่อยอาหารและล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการกรดไหลย้อน ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น และที่สำคัญเชื่อว่าข้อนี้น่าจะถูกใจผู้หญิงหลายๆ คนเลย นั่นก็คือเขาสามารถช่วย Block แป้ง และ ไขมันในร่างกายของเราได้ แถมยังช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักด้วย คุณสามารถดื่มแทนมื้ออาหารเย็นได้เลย และสุดท้ายโฮลิสต้ายังช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส แลดูอ่อนเยาว์ ดีท็อกล้างลำไส้ด้วยสิ่งนี้ มีแต่สิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพของเราค่ะ

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista
เขามีสารสกัดสำคัญถึง 9 ชนิด คือ ทับทิม เมลอน อโซโรล่า เชอร์รี่ แครนเบอร์รี่ เมล็ดองุ่น ชาเขียว Co Q10, L-Glutathione และ Pine Bark แต่ละชนิด ดีต่อลำไส้ของเราทั้งนั้นเลยค่ะ

ในส่วนของความปลอดภัยนั้นขอบอกเลยว่าปลอดภัยแน่นอนค่ะ เพราะอาหารเสริมตัวนี้มีส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติ 100% อีกทั้งยังมีผลวิจัยรับรองส่วนผสม จาก Wageningen Academic Publishers ที่สหรัฐอเมริกาด้วย ผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก อย. อย่างถูกต้อง และผ่านมาตรฐาน GMP และ HACCP ระดับสากล ที่สำคัญคือในเรื่องของรสชาติค่ะ เพราะตัวนี้มีรสอร่อย ดื่มง่าย ไม่ทำให้ปวดบิด คุณสามารถดื่มโฮลิสต้าได้อย่างต่อเนื่องทุกวันโดยไม่มีผลข้างเคียง แต่ยิ่งดื่มต่อเนื่อง ยิ่งช่วยให้รูปร่างดีขึ้นและผิวพรรณดูเปล่งประกายมีออร่าเพิ่มขึ้นด้วยล่ะค่ะ

วิธีทานง่ายมากค่ะ ใน 1 กล่องจะประกอบด้วย HOLISTA 7 ซอง สามารถรับประทานวันละ 1 ซอง ฉีกซองผสมน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็นประมาณ 150 – 200 มล. จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วดื่มได้ทันที แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าตามอีก 1 แก้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของในการทำงาน ควรดื่มก่อนนอน อย่างน้อย 2 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่เหมาะสม แนะนำเป็นตอน 20.00 – 22.00 น. เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการทำงานของร่างกายค่ะ

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista

เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะอยากทราบว่า ดื่มไปแล้ว เห็นผลไหม ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเห็นผล สำหรับผลิตภัณฑ์ HOLISTA นั้นคุณจะสามารถเห็นผลเรื่องการขับถ่ายที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่ซองแรกที่รับประทานเลยค่ะ โดยผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในช่วง 2 สัปดาห์หลังรับประทาน โดยแนะนำให้ทานต่อเนื่องจนครบ 4 สัปดาห์ จะทำให้ระบบลำไส้กลับมาทำงานเป็นปกติ ซึ่ง HOLISTA นี้จะแตกต่างจาก Detox ยี่ห้ออื่นๆ ที่มีส่วนผสมของ ยาระบาย หรือ มะขามแขก อาการที่เกิดขึ้นเมื่อหยุดทานจึงกลับมามีอาการท้องผูกมากขึ้นกว่าเดิม

หลังจากปรับสมดุลลำไส้ครบ 1 เดือนแล้ว แนะนำให้ทาน สัปดาห์ละ 1 – 2 ซอง เพื่อรักษาความสมดุลของระบบภายในร่างกายและเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน สำหรับอาหารเสริมตัวนี้ สามารถดื่มได้อย่างต่อเนื่องทุกวันโดยไม่มีผลข้างเคียงเพราะอย่างที่บอกว่าเค้ามีสารสกัดจากธรรมชาติ 100% เพราะฉะนั้นยิ่งดื่มต่อเนื่อง ยิ่งช่วยให้รูปร่างดีขึ้นและผิวพรรณดูเปล่งประกายมีออร่าเพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ

แล้ว Holista นี้เหมาะกับใคร? หรือเหมาะกับเฉพาะแค่คนที่มีปัญหาท้องผูกรึเปล่า? ต้องบอกก่อนว่า Holista เหมาะกับคนที่มีปัญหาท้องผูก หรือกรดไหลย้อนจริงๆ แต่คนที่ต้องการล้างสารพิษตกค้างในร่างการและต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ร่วมไปถึงคนที่อยากมีรูปร่างที่สมส่วน อยากมีผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่อยากดูแลสุขภาพ สามารถดื่มอาหารเสริมตัวนี้ได้ค่ะ แต่สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สตรีมีครรภ์ คุณแม่ที่ให้นมบุตรและคนที่แพ้กุ้งหรืออาหารทะเลอาจต้องระวัง เนื่องจากเขามีส่วนผสมของไคโตซานค่ะ

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนเกิดความกังวลคือ หากเราหยุดดื่มแล้ว จะกลับมาท้องผูกเหมือนเดิมมั้ย บอกตรงนี้เลยว่า มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เมื่อคุณได้ลองดื่มโฮลิสต้า อาหารเสริมตัวนี้ เขาจะเข้าไปช่วยปรับสมดุลลำไส้ หากเราหยุดดื่มแล้ว จะไม่กลับมาท้องผูกเหมือนเดิม เนื่องจากมีจุลินทรีย์ที่ช่วยในการฟื้นฟูระบบลำไส้ เมื่อทานอย่างต่อเนื่องการทำงานของลำไส้จะฟื้นตัวดีขึ้น ระบบขับถ่ายจะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งต่างจาก Detox ทั่วไปที่มีส่วนผสมของยาระบาย หรือ มะขามแขก ที่เข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและทำให้ระบบขับถ่ายเสียสมดุล เมื่อหยุดก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรืออาจจะหนักกว่าเดิม แต่โอสลิสต้าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเขาจะช่วยให้เราขับถ่ายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ใช่ถ่ายหลายๆ รอบเหมือนคนท้องเสีย แถมอุจจาระที่ออกมายังมีลักษณะนุ่มฟูและมีมวล บ่งบอกถึงสุขภาพลำไส้ที่ดีอีกด้วยค่ะ

ดีท็อกล้างลำไส้_Holista

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราจะต้องดีท็อกล้างลำไส้ หยิบมาฝากทั้งข้อดีข้อเสียและวิธีดีๆ มากมาย พร้อมทั้งตัวช่วยที่เรียกได้ว่าเป็นคู่หูกู้ระบบย่อยที่คนท้องผูกต้องมี ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆ คน อย่าลืมว่าเรื่องของสุขภาพละเลยไม่ได้เลยนะ หันมาดูแลตัวเองสักนิด ชีวิตจะได้แฮปปี้ บวกกับตัวช่วยดีๆ สักตัวนึง เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแล้วค่ะ

ลองดูอีกซักหน่อย 10 อาหารแก้ท้องผูก ช่วยดีท็อกล้างลำไส้ได้อย่างอยู่หมัด

ลดพุง ดีท็อกลำไส้! เลือกกิน ‘Probiotic’และ ‘Prebiotic’ อย่างไร ให้ถูกวิธีและเห็นผล?

ลดพุง ดีท็อกลำไส้! เลือกกิน ‘Probiotic’และ ‘Prebiotic’ อย่างไร ให้ถูกวิธีและเห็นผล?

ไม่ว่าใครก็คงใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของหุ่นผอมเพรียว ไร้พุงหย่อนๆ ย้อยๆ ห้อยล้ำหน้ากันทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะคะ? แล้วเคยสงสัยกันบ้างรึเปล่าว่าทั้งที่ตัวเราเองก็ไม่ได้เป็นคนกินเยอะ หรือกินจัดหนักจัดเต็มกว่าคนอื่นเขาสักเท่าไหร่ แต่ทำไม?! หุ่นถึงได้อ้วนล้ำหน้าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ทั้งกินเก่ง ชอบกินของจุกจิกไม่หยุดปาก แต่หุ่นก็ยังคงดูผอมแห้งตัวเล็กไม่เปลี่ยนแปลง…
สาเหตุที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะว่าประสิทธิภาพระบบเผาผลาญของแต่ละคนไม่เท่ากันนั่นเองค่ะ สำหรับคนที่ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี ต่อให้กินอาหารในปริมาณเยอะเท่าๆ กัน แต่ก็สามารถเบิร์นไขมันและแคลอรี่ออกไปได้เร็วกว่าคนที่ระบบเผาผลาญทำงานได้ช้า แล้วปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งอย่าง ที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่กินน้อยแต่กลับอ้วนง่าย อาจเป็นเพราะจุลินทรีย์ดีอย่างเจ้า ‘Probiotic’ ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการย่อยอาหารในร่างกายมีปริมาณน้อยมากๆ ทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซับอาหารและขับสารพิษตกค้างออกมาได้แบบหมดจด เลยส่งผลให้เกิด อาการท้องอืดหรือท้องผูก (10 อาหารแก้ท้องผูก ช่วยขับถ่าย ไม่ว่าธาตุหนักหรือเบาก็เอาอยู่) ได้ง่ายๆนั่นเองค่ะ

Probioticคืออะไร_โปรไบโอติก_Probiotic
Probiotic ’ และ ‘ Prebiotic คืออะไร

ในปัจจุบันหลายคนเลยนิยมหันมารับประทานอาหารเสริม ที่มีส่วนประกอบของทั้ง ‘Probiotic’ (ลดพุง ดีท็อกลำไส้! เลือกกิน ‘ Probiotic ’ และ ‘ Prebiotic ’ อย่างไร ให้ถูกวิธีและเห็นผล?) และ ‘Prebiotic’ (ยิ่งกิน ยิ่งดีต่อลำไส้! ชวนดู 9 เมนูที่มี ‘ Prebiotic ’ ( พรีไบโอติก) เพื่อเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ตัวดีในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุล และเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สำหรับใครที่ยังเกิดความสงสัยอยู่เบาๆ ว่าเจ้า ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ สองคำนี้มันคืออะไรกันแน่? แล้วแตกต่างกันยังไงบ้าง? วันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปหาคำตอบเกี่ยวกับจุลินทรีย์ตัวดีสองชนิดนี้ด้วยล่ะ

‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ คืออะไร? ต่างกันตรงไหน?

Probioticคืออะไร_โปรไบโอติก_Probiotic_holista
‘ Probiotic ’ และ ‘ Prebiotic ’ คืออะไร? ต่างกันตรงไหน?

ถึงแม้คำว่า ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ จะเขียนและออกเสียงคล้ายๆ กันก็จริง แต่ทั้ง 2 อย่างนี้มีหน้าที่แตกต่างกันนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละตัว คืออะไร? ทำหน้าที่อะไรบ้าง? ก็ตามมาดูพร้อมกันได้เลย
โปรไบโอติก’ หรือ ‘Probiotic’ ก็คือจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของคนเรา จัดอยู่ในกลุ่มของจุลินทรีย์ตัวดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำหน้าที่ในการช่วยดูดซึมอาหารและวิตามิน แล้วยังสามารถพบจุลินทรีย์ชนิดนี้ได้ในอาหารพวก โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือผักดองต่างๆ ได้ด้วยนะ
ส่วน ‘พรีไบโอติก’ หรือ ‘Prebiotic’ เป็นสารอาหารชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมได้ในระบบทางเดินอาหาร แต่เป็นแหล่งอาหารสำคัญของ ‘Probiotic’ ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวดีในลำไส้ เลยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

ทั้ง ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ ดีต่อสุขภาพยังไง?

Probiotic ’ และ ‘ Prebiotic ดีต่อสุขภาพอย่างไร

ทั้ง ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ ถือเป็นหัวใจสำคัญ ในการควบคุมทั้งอารมณ์ สุขภาพ และผิวพรรณของคนเราได้เลยนะคะ เพราะว่าเวลาที่ร่างกายได้รับจุลินทรีย์ตัวดีเพิ่มเข้าไป ก็จะกระตุ้นระบบต่างๆ ภายในให้เกิดความสมดุลและทำงานได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบลำไส้ ระบบการย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย พอระบบเหล่านี้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็จะช่วยทำให้เราสามารถดีท็อกขับของเสียและสารพิษออกมาพร้อมอุจจาระในแต่ละวัน ไม่ต้องเสี่ยงเจอกับปัญหาท้องผูกหรือขับถ่ายยากอีกต่อไปแล้ว งานนี้นอกจากจะช่วยสลายพุงให้ยุบลง ทำให้รู้สึกโล่งสบายท้อง แล้วยังส่งผลให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งกระจ่างใส เพราะระบบภายในสะอาดขั้นสุดอีกด้วยล่ะ
แล้วหาก ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ ทำงานแบบมีประสิทธิภาพ ก็สามารถช่วยเรื่องสุขภาพและความงามได้อีกหลายอย่างเชียวล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร, บรรเทาอาการกรดไหลย้อน, ช่วยขับล้างสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ ในเลือด และในตับ หรือแม้กระทั่งช่วยกำจัดแป้งและไขมัน สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักได้เหมือนกันนะ

กิน ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ อย่างไร ให้ถูกวิธีและเห็นผล?

Probioticคืออะไร_โปรไบโอติก_Probiotic_holista
กิน ‘ Probiotic ’ และ ‘ Prebiotic ’ อย่างไร ให้ถูกวิธีและเห็นผล

ฮั่นแน่… พอได้ทำความรู้จักและรู้ถึงประโยชน์ดีๆ ของทั้ง ‘โปรไบโอติก’ และ ‘พรีไบโอติก’ ไปแล้ว หลายคนคงอยากจะไปหาซื้อ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติก มาทานกันอย่างไวแน่นอนเลยใช่มั้ยล่ะ แล้ววันนี้เราก็มีทริคดีๆ ในการกิน ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ ให้ถูกวิธีและเห็นผล มาแนะนำกันด้วยนะคะ รับรองได้เลยว่าถ้าใครนำไปทำตาม ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับสมดุลระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังได้แน่ๆ
(1) เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองความปลอยภัย
ไม่ว่าคุณกำลังจะเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดไหนมารับประทาน สิ่งสำคัญอย่างแรกที่ควรนึกถึงก็คือเรื่องของความปลอดภัยนั่นเองค่ะ ก็เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่เรานำเข้าปาก ก็ล้วนส่งผลต่อร่างกายได้ทั้งนั้นเลยนี่นา ฉะนั้นเราเลยอยากจะขอแนะนำให้ลองเลือกอาหารเสริมโปรไบโอติก ที่มี อย. ผ่านการรับรองความปลอดภัย จะได้ทานกันได้แบบมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่เป็นอันตรายยังไงล่ะ
(2) เลือก ‘Probiotic’ ที่ทนต่อกรดในกระเพาะอาหารได้
ถ้าอยากจะกิน ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ ให้ได้ผลดี ก็ต้องไม่ลืมหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อด้วยล่ะ ว่าอาหารเสริมตัวนั้นๆ เป็นโปรไบโอติกสายพันธ์ที่มีความทนน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้ดีรึเปล่า? และ สามารถผ่านไปถึงลำไส้ได้หรือไม่? เพื่อที่จะสามารถเข้าไปปรับสมดุลลำไส้ได้แบบตรงจุดจริงๆ
(3) ควรทาน ‘Probiotic’ กับ ‘Prebiotic’ ควบคู่กันไป
ยังจำที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ได้รึเปล่าคะว่า พรีไบโอติกถือเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่จะช่วยทำให้จุลินทรีย์ตัวดีอย่างโปรไบโอติกเติบโตและทำงานได้ดียิ่งขึ้น แบบนี้เลยควรเลือกทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีทั้ง ‘Probiotic’ กับ ‘Prebiotic’ ควบคู่กัน เพื่อที่จะได้เสริมประสิทธิภาพการทำงานของโปรไบโอติก และกระตุ้นให้ระบบลำไส้ ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายเกิดความสมดุลขึ้นกว่าเดิมค่ะ

อาหารเสริม ‘HOLISTA’ ตัวช่วยดีท็อกลำไส้ได้ลึกตรงจุด!

: Probioticคืออะไร_โปรไบโอติก_อาหารเสริมProbiotic_holista
อาหารเสริม ‘ HOLISTA ’ ที่มี Probioticตัวช่วยดีท็อกลำไส้ ขับถ่ายคล่อง

แหม… ไหนๆ ก็มาแนะนำการกิน ‘Probiotic’ และ ‘Prebiotic’ กันแบบเต็มอิ่ม ข้อมูลแน่นขนาดนี้แล้ว วันนี้เราก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดีๆ ที่ตอบโจทย์ครบถ้วนตามที่ทุกคนต้องการมาฝากกันด้วยนะคะ นั่นก็คือ ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ หรือ ดีท็อกโฮลิสต้า ซองเขียวๆ เด่นๆ ตัวนี้เลยค่ะ

แล้วเหตุผลที่เราเลือกนำอาหารเสริมแบรนด์นี้มาแนะนำกัน นั่นก็เพราะว่าในผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบจากทั้ง Probiotic + Prebiotic + Plant Enzyme พร้อมทั้งส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% อีกหลายชนิด โดยพระเอกของงานอย่างโปรไบโอติก ก็เป็นสายพันธ์พิเศษนำเข้าจากอเมริกา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่สามารถเคลื่อนตัวผ่านน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อเข้าไปปรับสมดุลลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่ฉีกซองชงดื่มผสมกับน้ำเปล่า 150 – 200 มล. แล้วดื่มน้ำตามอีก 1 แก้ว ก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง ดีท็อกโฮลิสต้าก็จะฟื้นฟูระบบลำไส้และระบบย่อยอาหาร แล้วได้ผลลัพธ์ตามมาก็คือการขับถ่ายในช่วงเช้า ไปแบบโล่ง ฟิน สบาย ไม่รู้สึกปวดบิดหรือทำให้อ่อนเพลียเหมือนการใช้ยาถ่ายด้วยนะ
・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・・
รู้อย่างนี้แล้วใครที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบลำไส้ การย่อยอาหาร หรือการขับถ่าย ชอบมีอาการท้องอืดหรือท้องผูกโผล่มาเยือนอยู่บ่อยๆ ก็ต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองซะใหม่แล้วนะคะ โดยควรหันมาเลือกทานผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงให้มากขึ้น ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เข้าฟิตเนสไปออกกำลังกายบ้าง ฯลฯ แล้วถ้าอยากจะเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับสมดุลระบบต่างๆ ภายในได้แบบลึกถึงต้นตอ ก็ต้องไม่ลืมที่จะหาซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของ ‘Probiotic’ (ลดพุง ดีท็อกลำไส้! เลือกกิน ‘ Probiotic ’ และ ‘ Prebiotic ’ อย่างไร ให้ถูกวิธีและเห็นผล?) และ ‘Prebiotic’ ยิ่งกิน ยิ่งดีต่อลำไส้! ชวนดู 9 เมนูที่มี ‘ Prebiotic ’ ( พรีไบโอติก ) อย่าง ‘HOLISTA Probiotic Fiber Detox’ มาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริม ก็ช่วยขจัดปัญหาสุขภาพที่กำลังกวนใจให้หายไป แถมยังสะดวกมากๆ อีกด้วยล่ะ

เข้าใจผิดอยู่รึเปล่า!?.. ‘ท้องผูก’ จริงๆ แล้วอาการเป็นยังไง/สาเหตุหลักคืออะไร/รักษาง่ายๆ ยังไงดี ?

เข้าใจผิดอยู่รึเปล่า!?.. ‘ท้องผูก’ จริงๆ แล้วอาการเป็นยังไง/สาเหตุหลักคืออะไร/รักษาง่ายๆ ยังไงดี ?

หากถามถึงอาการท้องผูก หลายๆ คนอาจจะมีอาการที่ไม่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าแบบนี้เรียกว่าอาการท้องผูก งานนี้ต้องได้เข้าใจไปแบบเคลียร์ๆ ที่สำคัญจะพาไปรู้ให้ลึกถึงสาเหตุและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องผุก รวมถึงวิธีรักษาอาการท้องผูกง่ายๆ ที่ช่วยให้หายกังวลได้เพียงกินและดีท็อกซ์ร่างกายอย่างถูกวิธี

แบบไหนถึงเรียกว่า ‘ท้องผูก’ ?

ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista
รูปภาพจาก Chris Keller from Pixabay

ปัญหาภาวะ ‘ท้องผูก’ คือเมื่อเข้าห้องน้ำแล้วนั่งนาน อยากถ่ายแล้วถ่ายไม่ออก แถมจะเข้าห้องน้ำแต่ละทีใช้เวลาหลายวันหรือบางครั้งก็ยาวนานเป็นสัปดาห์ แบบนี้คือใช่ใช่มั้ย ? บอกเลยว่า อาจใช่ แต่ไม่ทั้งหมด นั่นไม่ถือเป็นอาการที่แสดงถึงภาวะท้องผูกไปซะทุกข้อนะ

เพราะจริงๆ แล้วจำนวนครั้งในการขับถ่ายของแต่ละคนมักจะไม่เท่ากัน ต่างก็มีพฤติกรรมการขับถ่ายที่เป็นไปตามกลไกในร่างกายของแต่ละบุคคล ดังนั้นหากคนที่ถ่ายอุจจาระทุก 3 วันเป็นประจำ หรือใช้เวลาหลายวันกว่าจะถ่ายอุจจาระซักครั้งก็จริง แต่การถ่ายแต่ละครั้งยังคงมีผิวอุจจาระที่อ่อนนุ่ม ผิวฟู จับตัวเป็นก้อนดีอยู่ และไม่ต้องใช้แรงเบ่งจนเนื้อตัวเกร็ง หน้าบิดเบี้ยวไปหมด ก็ยังถือว่าเป็นการขับถ่ายที่ปกติสำหรับตัวคุณเองอยู่ ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก

งั้นจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ร่างกายของเราเข้าสู่ภาวะท้องผูกแล้ว หรือแบบนี้ยังเรียกว่าไม่ใช่ท้องผูกอีก..

สรุปว่าอาการท้องผูกคือแบบนี้ !

ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista
รูปภาพจาก jan mesaros from Pixabay

สรุปให้เห็นภาพชัดๆ ว่าต้องมีอาการทั้งหลายเหล่านี้รวมกัน นี่แหละคืออาการท้องผูก

– อุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือน้อยครั้งกว่าที่เคยถ่ายเป็นประจำ
– เข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง ต้องใช้แรงเบ่งมาก และนั่งเบ่งเป็นเวลานาน
– ถ่ายน้อย อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง หรือเม็ดเล็กๆ
– รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด อึดอัด แน่นท้อง
– ต้องใช้ตัวช่วยอย่าง น้ำฉีด หรือมือช่วยล้วง
– หากสงสัยว่าตัวเราเข้าข่ายอาการท้องผูกเหล่านี้หรือไม่ ให้ลองเช็คดูว่ามีอาการตามที่ว่ามา

นี้กี่ข้อ หากเป็นอย่างน้อย 1 ข้อก็อย่ารอช้า เพราะอาการท้องผูกนั้นส่งผลเสียอย่างมากต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ปล่อยไว้เรื้อรังก็ยิ่งไม่ดี เพราะงั้นหากแก้ไขได้จงรีบทำด่วนๆ

ท้องผูกเกิดจากอะไร ?

ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista
ท้องผูกเกิดจากอะไร ทำไมใครๆ ก็เป็นได้

ทำความเข้าใจกันก่อนว่าโรคท้องผูก (Constipation) โรคยอดฮิตของคนทุกกลุ่ม แต่มักพบมากในกลุ่มหนุ่มสาวออฟฟิศ โดยจะมีอาการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติหรือถ่ายอุจจาระไม่ออกเป็นเวลานาน ซึ่งสาเหตุของอาการนี้เกิดจากลำไส้มีการบีบตัวหรือเคลื่อนตัวช้าในระหว่างการย่อยอาหาร ทำให้ไม่สามารถกำจัดอุจจาระออกจากระบบทางเดินอาหารได้อย่างปกติ จึงทำให้เกิดการตกค้างในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานจนมีการดูดน้ำในอุจาระกลับ ส่งผลให้อุจจาระมีลักษณะแห้ง แข็งและมีขนาดใหญ่ขึ้น เวลาถ่ายออกจึงค่อนข้างลำบากกว่าปกตินั่นเอง

แต่หากมองย้อนดูให้ลึกกว่านั้น สาเหตุของการท้องผูกอาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลร่วมกันอีก ได้แก่ พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ทั้งการกิน ดื่ม อาหารที่มีกากใยไม่เพียงพอในแต่ละวัน, การดื่มน้ำที่น้อยเกินไป, การนั่งเป็นเวลานานๆ ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหวและลำไส้ไม่บีบตัว, การขาดการออกกำลังกาย, การกลั้นอุจจาระบ่อยครั้ง
หรือบางครั้งอาจเกิดจากสาเหตุเพียงพฤติกรรมการเบ่งถ่ายอุจจาระที่ไม่ถูกวิธี มีการออกแรงเบ่งไปพร้อมๆ กับการขมิบหูรูดบริเวณทวารหนักไปด้วย หรือาจเป็นเพราะผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาที่ใช้รักษาอาการโรคซึมเศร้า, ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแคลเซียมหรืออะลูมิเนียม, ยาลดความดันโลหิต เป็นต้น

รวมถึงอาการท้องผูกที่เกิดจากการทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ลำไส้ใหญ่มีการเคลื่อนไหวน้อยลง ส่งผลให้อุจจาระเคลื่อนตัวลงมาช้ากว่าปกติ เรียกภาวะนี้ว่าภาวะลำไส้เฉื่อย ซึ่งจะทราบได้จากการตรวจดูการเคลื่อนผ่านของอุจจาระภายในลำไส้ใหญ่ (colonic transit time)

จะเห็นว่าจริงๆ แล้วอาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกมากถึง 50% มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกาย หรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย หรือแม้กระทั่งการกลั้นอุจจาระบ่อยๆ นั่นเอง

ท้องผูกบ่อยๆ ส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกาย

ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista
ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista

อย่างที่บอกว่าอาการท้องผูกมีผลกระทบต่อร่างกายของเราไม่ว่าจะทั้งสุขภาพกายและใจ หลายๆ คนรู้สึกอึดอัด เบื่ออาหาร รู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ปวดหัว ปวดหลัง และแสบร้อนบริเวณหน้าอก ไปจนถึงขั้นเครียดเลยก็มี ที่สำคัญโรคนี้ยังนำพาไปสู่โรคริดสีดวงทวารอีกด้วย

ไม่แค่นั้น ใครที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ อาจจะทำให้ความดันในช่องทรวงอกเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายมากๆ ทั้งยังทำให้แรงดันในช่องท้องสูงขึ้นจนเป็นสาเหตุของไส้เลื่อนได้ นอกจากนี้ยังทำให้กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ จนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ร้ายแรงไปจนถึงขั้นท้องผูกเรื้อรังจนทำให้มีอาการของลำไส้อุดตัน ได้แก่ ปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ไม่ผายลม และไม่ถ่ายอุจจาระ และด้วยสาเหตุและผลเสียเหล่านี้ จึงทำให้เราต้องหันมาดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น และเล็งเห็นความสำคัญของการดีท็อกซ์ ที่มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายๆ คนให้ความสนใจ สามารถช่วยล้างพวกสิ่งตกค้างต่างๆ ออกไปจากลำไส้ของเรา ลดอาการแน่นท้อง คลายปัญหาท้องผูกได้อย่างถูกวิธี

รักษาอาการท้องผูกง่ายๆ ยังไงดี ?

ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista
รักษาอาการท้องผูกง่ายๆ ด้วยการเลือกกินอาหารและการดีท็อกซ์

กินอาหารแก้ท้องผูก

หากเริ่มแก้จากวิธีที่ง่ายที่สุดคือปรับที่อาหารการกินก่อนเลย เพราะอุจจาระของเราก็มาจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินเข้าไป รวมกับของเสียอื่นๆ ในร่างกายจนกลายสภาพมาเป็นมวลที่พร้อมเกิดการขับถ่ายนั่นแหละ ดังนั้นจึงควรเพิ่มอาหารที่เป็นกากใยในแต่ละมื้อให้มากยิ่งขึ้น หรือของกินที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย หรือมีแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ รวมถึงดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อที่จะช่วยให้ลำไส้ทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เช็คเลย 10 อาหารแก้อาการท้องผูก ชอบแบบไหนก็เลือกกินได้แบบที่ชอบ

ดื่ม Holista ช่วยดีท็อกซ์

ดีท็อกซ์ช่วยแก้อาการท้องผูกได้อย่างถูกวิธี ไม่มีอะไรยุ่งยากด้วยนะ

อีกวิธีการรักษาอาการท้องผูกง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งคือต้องรู้จักช่วยลำไส้ นั่นคือช่วยดีท็อกสารพิษออกจากร่างกายบ้าง โดยการหาเครื่องดื่มดีท็อกล้างสารพิษอย่าง Holista Fiber Detox มาดื่ม เพื่อช่วยทั้งเรื่องปรับสมดุลลำไส้ แก้อาการท้องผูก ฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร ล้างสารพิษในร่างกาย รวมถึงช่วยลดอาการกรดไหลย้อน ท้องอืด ให้หน้าท้องยุบ โล่ง สบายได้

เพราะ HOLISTA Rabalance (โฮลิสต้า รีบาลานซ์) คือ นวัตกรรม Health & Beauty Detox จาก USA ที่รวม Probiotic (โปรไบโอติกส์) + Prebiotic (พรีไบโอติกส์) และ Plant Enzyme เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยแก้อาการท้องผูกได้อย่างล้ำลึกถึงต้นตอของปัญหา และสามารถแก้รวมไปได้อีกหลายอาการที่เกี่ยวข้อง ทั้งปรับสมดุลลำไส้อย่างเป็นธรรมชาติ, ช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร, ช่วยขับล้างสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ ในเลือด และในตับ, ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น, ช่วย Block แป้ง และ ไขมัน, ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก สามารถดื่มแทนมื้ออาหารเย็นได้, ช่วยรักษาอาการสิวเรื้อรังทั้งที่ใบหน้า และ ที่หลัง, และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์ได้ด้วย

ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista
ท้องผูก_อาการ_สาเหตุ_การรักษา_Holista

แต่เห็นโฮลิสต้ามีคุณสมบัติที่ดีงาม ช่วยแก้อาการท้องผูกและอาการอื่นๆ ข้างเคียงได้ครอบจักรวาลขนาดนี้ บอกเลยว่าไม่ต้องกลัวเรื่องการเป็นอาหารเสริมอันตราย หรือกลัวว่าจะมีส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัยต่อร่างกายรึเปล่า วางใจได้เลยเพราะ HOLISTA Rabalance (โฮลิสต้า รีบาลานซ์) ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล

– มีผลวิจัยรับรองส่วนผสม จาก Wageningen Academic Publishers ที่สหรัฐอเมริกา
– ส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติ 100%
– มี อย. รับรอง ถูกต้อง ปลอดภัย
– ผ่านมาตรฐาน GMP และ HACCP ระดับสากล

ที่สำคัญโฮลิสต้า ไฟเบอร์ ดีท็อกยังเป็นสินค้าที่มีจำหน่ายในโรงพยาบาลชั้นนำ แนะนำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเภสัชกรด้วย เพราะฉะนั้นก็สบายใจหายห่วงได้เลย เพียงเลือกดื่มวันละซองก่อนนอนจะช่วยให้ขับถ่ายง่าย ไม่ปวดบิด ไม่ต้องเข้าห้องน้ำหลายครั้งจนเพลีย และเมื่อดื่มต่อเนื่องเป็นประจำ 1-2 สัปดาห์ก็จะช่วยให้สบายท้องมากขึ้น คลายท้องอืด ลดกรดไหลย้อน และช่วยลดหน้าท้อง ปรับสมดุลร่างกายได้ในที่สุด ที่สำคัญเมื่อหยุดกินก็ไม่ต้องกลัวว่าลำไส้จะทำงานลดประสิทธิภาพลง เพราะระบบลำไส้ได้รับการปรับสมดุลจนทำงานเป็นปกติได้อยู่ตลอด

แค่ดื่มซองแรกก็ช่วยให้ขับถ่ายสบาย ไม่ปวดบิด ไม่เพลีย แก้อาการท้องผูกได้แบบไม่ต้องกลัวผลข้างเคียง

และอย่าลืมลองใช้วิธีอื่นร่วมด้วย ทั้งการออกกำลังกาย เดินเคลื่อนไหวร่างกายทุก 1-2 ชั่วโมงให้เป็นนิสัย หลังจากลองปรับพฤติกรรมตามที่ว่ามาทั้งหมดนี้แล้ว รับรองว่านี่จะแหละคือวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาอาการท้องผูกได้ตรงจุด และลึกถึงต้นตออย่างแท้จริง

เอาล่ะ หวังว่าจากนี้ทุกคนจะห่างไกลจากอาการท้องผูกมากขึ้น และหากว่าใครมีอาการนี้อยู่ ก็อย่าลืมทบทวนสาเหตุและรักษาอาการท้องผูกตามที่ว่ามากันนะ จะได้ไม่ต้องเสียสุขภาพกันทั้งกายทั้งใจทั้งลำไส้ยังไงล่ะ